Page 57 - mukdahansuksapub
P. 57
57 คลี่คลายกรณีสวรรคตให้ข่าวกระจ่างได้ ตลอดทั้งไม่สามารถแก้ไขค่าครองชีพของประชาชนและการทุจริตใน หน่วยงานของราชการได้ยิ่งมากขึ้นทุกที จนนายกรัฐมนตรีคือนายปรีดี พนมยงค์ ต้องลาออกให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป แต่กระนั้นก็ตามเสียงแสดงความไม่พอใจรัฐบาลที่ไม่สามารถคลี่ คลายกรณีสวรรคตให้ขาวกระจ่างได้และไม่สามารถแก้ไขค่าครองชีพของประชาชนได้ยิ่งมีมากขึ้นทุกที จนฝ่าย ค้านในสภาผู้แทนราษฏรได้เปิดอภิปรายทั่วไป ความไม่พอใจของประชาชนมากขึ้นทุกวันจึงมีนายทหารบาง กลุ่มซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มนายทหารกองหนุนคิดจะกระทํารัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ไม่มีหน่วย กําลังทหารเพียงพอ กําลังทหารที่กลุ่มนี้เพ่งเล็งเป็นพิเศษก็คือกรมทหารราบที่ ๑ ซึ่งมีท่านเป็นผู้บังคับการอยู่ จนในที่สุดท่านก็ถูกชักชวนให้ร่วมในการทํารัฐประหารครั้งนั้น วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นวันกระทํารัฐประหาร กําลังทหารจากกรมทหารราบที่ ๑ ทั้ง ๔ กองพันซึ่งท่านเป็นผู้บังคับการเป็นกําลังสําคัญ หน่วยทหารที่จะร่วมในการยึดอํานาจส่วนมากจะอยู่ทางบาง ซื่อ แต่ พลเอก หลวงอดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบกได้ยืนขวางถนนอยู่ที่บางลําภูและวิ่งรถเที่ยวไล่ให้ทหาร หน่วยอื่นๆกลับเข้ากรมกองหมด ท่านได้ตัดสินใจเด็ดขาดไม่ให้ทหารภายใต้การบังคับบัญชาของท่านถอยโดย นํากําลังทหารเข้ายึดกระทรวงกลาโหมเป็นกองบัญชาการในการทํารัฐประหารยึดอํานาจจนสําเร็จโดยมี พลโท ผิน ชุณหวันเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารและเชิญจอมพล ป. พิบูลสงครามมาร่วมในการยึดอํานาจครั้งนี้อีกด้วย วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ และวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๑ท่านก็ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตรีเมื่ออายุ ๔๐ปี ต่อมายังมีการต่อต้าน,การ จลาจล,การกบฏอีกหลายครั้งหลายหน ซึ่งท่านเป็นกําลังสําคัญในการปราบจลาจลทุกครั้ง จนถึงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ ท่านได้เลื่อนยศเป็นพลโท ดํารงตําแหน่งแม่ทัพกองทัพภาคที่ ๑ พ.ศ.๒๔๙๔ดํารง ตําแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ.๒๔๙๕ เลื่อนยศเป็นพลเอก ดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เมื่อ อายุ ๔๕ ปี จนถึงพ.ศ.๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นจอมพล เมื่ออายุ ๔๗ ปีและดํารงตําแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏว่าการหาเสียงเลือกตั้งได้ ดําเนินไปด้วยความรุนแรงมาก ประชาชนทั่วไปต่างไม่พอใจพรรคของรัฐบาลคือ พรรคเสรีมนังศิลาซึ่งมีจอม พล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรคและพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีตํารวจโดยกล่าวหาว่าใช้ อิทธิพลในการเลือกตั้งครั้งนั้นว่าเป็น“การเลือกตั้งที่สกปรก” ความไม่พอใจของประชาชนได้ทวีความรุนแรง ขึ้นทุกที จนได้มีการชุมนุมเปิดเวทีวิพากย์วิจารณ์รัฐบาลขึ้นอย่างกว้างขวางซึ่งเรียกว่าการเปิด “ไฮด์ปารค์”ขึ้น ในท้องสนามหลวง การชุมนุมได้มีการกล่าวหารัฐบาลว่าใช้อิทธิพลในการเลือกตั้ง ในที่สุดท่านจอมพล สฤษดิ์ จึงตัดสินใจลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งท่านพลเอก ถนอม กิตติขจร และ พลโท ประภาส จารุเสถียรก็ได้พายื่นใบลาออกจากรัฐมนตรีตามไปด้วย ตลอดทั้งคณะทหารอีก ๔๖ คนที่เป็น ส.ส. ประเภท ๒ (ส.ส.มี ๒ประเภทคือส.ส.ประเภทที่ ๑มาจากการเลือกตั้ง ประเภทที่ ๒ มาจากการแต่งตั้ง)ก็ได้พร้อม