Page 102 - ตามรอยพระศาสดา
P. 102

101


                     เมื่อสุดสิ้นพระราชบรรหารแห่งพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช บรรดา

               เหล่าพระประยูรญาติสิ้นทั้งหมด ก็พากันยอกรประณตอภิวาทพระบรม
               ศาสดา ด้วยคารวะเป็นอันดี

                     ต่อนั้น พระมหามุนีบรมสุคตเจ้า ก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งลง
               บนพระพุทธาอาสน์ในท่ามกลางพระบรมประยูรญาติสมาคม เป็นที่ชื่นชม

               โสมนัส สุดจะประมาณด้วยบุญญาภินิหารพระโลกนาถ ขณะนั้น มหาเมฆ
               ก็ตั้งขึ้นในอากาศ บันดาลหยาดฝนโบกขรพรรษให้ตกลงในที่พระขัตติยะ

               ประยูรวงศ์ประชุมกัน น�้าฝนโบกขรพรรษนั้น มีสีแดงหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่น
               ออกไปไกล เหมือนเสียงสายฝนธรรมดา ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกาย
               จึงจะเปียกกาย ถ้าไม่ปรารถนาแล้ว แม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียกตัว เหมือน

               หยาดน�้าตกลงในใบบัว แล้วก็กลิ้งตกลงไปมิได้ติดอยู่ให้เปียก ดังนั้น จึงได้
               นามขนานขานเรียกว่า “ฝนโบกขรพรรษ” เป็นมหัศจรรย์

                     ครั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็ชวนกันพิศวง ต่างองค์ก็สนทนาว่า

               มิได้เคยเห็นมาแต่ก่อนกาล พระองค์จึงมีพุทธบรรหารตรัสว่า “ฝนโบก
               ขรพรรษนี้ มิใช่จะตกในที่ชุมนุมพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้น ก็หาไม่
               ในอดีตสมัย เมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์

               ฝนโบกขรพรรษก็เคยได้ตกลงในที่ชุมนุมพระประยูรญาติเหมือนครั้งนี้”แล้ว
               สมเด็จพระมหามุนีจึงได้ทรงพระแสดงพระธรรมเทศนา เรื่องมหาเวสสันดร

               ชาดก ยอยกพระมหาบารมีทาน เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระประยูรญาติ
               ก็ถวายนมัสการทูลลากลับพระราชนิเวศน์หมดด้วยกัน ไม่มีใครเฉลียวจิต
               คิดถึงวันยามอรุณรุ่งพรุ่งนี้ ว่าสมเด็จพระชินศรีและพระสงฆ์จะทรง

               เสวยบิณฑบาตที่ใด จึงไม่มีใครทูลอาราธนาให้เสด็จไปเสวยภัตตาหารใน
               เคหสถานของตน ๆ ในกบิลพัสดุ์บุรี





                                        ตามรอยพระศาสดา
   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107