Page 33 - ตามรอยพระศาสดา
P. 33

32


          ไม่สามารถเป็นทางแห่งความตรัสรู้ได้ พระโพธิสัตว์ได้บ�าเพ็ญทุกรกิริยาให้

          กล้าแข็งขึ้นไปอีก  โดยทรงอดพระกระยาหาร มีข้าวสารประมาณเมล็ดงาเดียว
          เป็นต้น ในที่สุดทรงอดพระกระยาหารโดยเด็ดขาด พวกเทวดาต้องช่วยกัน
          ใส่โอชาแทรกเข้าทางขุมขน ถึงกระนั้นพระวรกายของพระบรมโพธิสัตว์ก็ถึง

          ความซูบผอมลงยิ่งนัก เพราะอดพระกระยาหาร ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่ง
          ดังทองก็กลายเป็นผิวด�าคล�้า มหาปุริสลักษณะทั้ง ๓๒ ประการ ก็หายหมด

          ถูกเวทนาครอบง�าจนถึงวิสัญญีภาพล้มสลบลง ณ ที่นั้น

               อวัยวะน้อยใหญ่ของพระโพธิสัตว์เหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก ตะโพก
          ปรากฏเหมือนเท้าอูฐ กระดูกสันหลังผุดเกิดขึ้นเหมือนเถาวัฏฏนาวฬี ซี่โครง
          นูนขึ้นเป็นร่องๆ ดุจดังกลอนศาลาเก่าที่เครื่องมุงหล่นโซมอยู่ฉะนั้น ดวงตา

          ลุ่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประหนึ่งดวงดาวปรากฏในบ่อน�้าอันลุ่มลึกฉะนั้น ผิว
          บนศีรษะเหี่ยวแห้งดุจผลน�้าเต้าที่ถูกแดดแผดเผาฉะนั้น ผิวหนังท้องแห้ง

          ติดกระดูกสันหลัง เมื่อลุกขึ้นถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ซวนเซล้มลงในที่นั้น
          เมื่อเอาฝ่ามือลูบตัวขนทั้งหลายที่มีรากเน่าก็หล่นออกจากพระวรกายของ
          พระองค์ ก็ยังไม่สามารถจะตรัสรู้ได้

               พระบรมโพธิสัตว์ทรงบ�าเพ็ญทุกรกิริยาอยู่อย่างนี้ถึง ๖ ปี ก็ไม่

          สามารถตรัสรู้ได้ จึงทรงเปลี่ยนพระทัยเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อได้อาหาร
          มาเสวย ครั้นเสวยพระกระยาหารตามปกติ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ

          ก็ปรากฏตามเดิม พระวรกายก็กลับมีพระฉวีวรรณเช่นเดิม

               ฝ่ายภิกษุปัญจวัคคีย์เห็นเช่นนั้นก็ด�าริกันว่า พระมหาโพธิสัตว์นี้ แม้ทรง
          บ�าเพ็ญทุกรกิริยาตั้ง ๖ ปีก็ยังไม่อาจตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณได้ บัดนี้ได้เสด็จ

          เที่ยวบิณฑบาตตามคามนิคมเป็นต้น น�าอาหารมาเสวยเช่นเดิม จะอาจตรัสรู้
          พระสัพพัญญุตญาณได้อย่างไร บัดนี้ พระมหาโพธิสัตว์ได้คลายความเพียร




                                  ตามรอยพระศาสดา
   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38