Page 32 - หนังสือ เรื่อง ภาษากับวัฒนธรรมไทยในท้องถิ่น
P. 32
การประกอบพิธีตามประเพณีไทยเป็นการบำเพ็ญกุศลตามพิธีพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา คนจนจะทำพิธีฝัง
ศพ คนมั่งมีจะเผาและทำพิธีอย่างใหญ่โต
พิธีทำศพในเรื่องขุนช้างขุนแผนมีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นิยมเผาศพกันไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีหรือศพ
ชาวบ้าน เพราะการปลงศพขุนศรีวิชันซึ่งตายโหงก็ใช้วิธีเผา หรือนางวันทองซึ่งเป็นนักโทษประหาร แต่ได้รับอภัย
โทษ แทนที่จะนำศพไปทิ้งหรือเสียบประจานแบบศพขุนไกรก็ทำพิธีเผาได้ ดังบทประพันธ์ที่ว่า
“ครั้นแล้วยกศพขึ้นใส่ไม้ ให้หามไปฝังที่ป่าช้านั่น
เกณฑ์คนเฝ้าศพได้ครบครัน แล้วพากันร้องไห้กลับไปเรือน”
(ขุนช้างขุนแผน)
ในเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงศพที่ตายโหงว่า จำนำไปฝังไว้ในป่าช้าก่อนทั้งขุนศรีวิชัยและนางวันทอง ไม่
มีการสวดหน้าศพ และฝังไว้นานพอสมควรจึงมาทำพิธีปลงศพภายหลัง เช่นการฝังศพนางบัวคลี่ ดังบทประพันธ์
ที่ว่า
“ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นให้แน่นใจ แล้วร้องเรียกบ่าวไพร่ให้ไปบ้าน
ต่อโลงบัวคลี่ตะลีตะลาน ให้ทหารเอาไปฝังเสียหลังวัด”
(ขุนช้างขุนแผน)
สำหรับความเชื่อคนตายธรรมดาจะมีการสวดศพที่บ้านแล้วจึงเผา การเผาศพมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้มี
ซากศพเหลืออยู่ให้เป็นที่ทุเรศแก่ผู้พบเห็น ประเพณีการเผาศพได้มาจากพราหมณ์ซึ่งเชื่อว่า ไฟช่วยชำระบาปและ
มลทินของผู้ตายให้หมดสิ้น และไฟจะเป็นสิ่งที่นำเอาวิญญาณซึ่งไม่ตายลอยตามควันขึ้นไปสวรรค์ แต่คนไทยมี
ความเชื่อว่าเผาศพแล้ววิญญาณของผู้ตายจะได้ไปสวรรค์ การจะไปสวรรค์ขึ้นอยู่กับการทำบุญอย่างอื่นมากกว่า
พิธีซักศพ
การเคลื่อนศพเรียกว่าพิธีซักศพ ก่อนจะนำศพขึ้นตั้งบนร้านม้าบนเมรุเชิงตะกอน ต้องทำพิธียก
ศพเวียนรอบเมรุ ๓ รอบ จากซ้ายไปขวาเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่ จากนั้นตั้งศพไว้ ๓ วัน ระหว่าง
๓ วันนี้จะมีงานมหรสพครื้นเครงทั้งกลางวันและกลางคืน มีการจุดดอกไม้เพลิง ประทัด พลุ ทั้งงานหลวงและงาน
ราษฎร์ เพราะคนไทยถือว่าความตายเป็นสิ่งธรรมดา จึงไม่ได้แสดงความโศกเศร้า แต่จะมีการละเล่นให้ชาวบ้าน
หน้า | ๒๗