Page 28 - รายงานสำรวจและจัดทำแผนผังถ้ำ เขตอุทยานแห่งชาติภาคใต้
P. 28

บทที่ 3

                                                 ผลการสำรวจถ้ำ


               3.1 ลักษณะสัณฐานแบบคาสต์


                              รูปร่างของพื้นผิวเปลือกโลกที่ปรากฏให้เห็น เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก
               และกระบวนการทางธรณีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผิวโลก เช่น การผุพัง การกัดกร่อน การกัด

               เซาะ และการพัดพา เป็นต้น โดยมีตัวกลางในการนำพาวัสดุต่างๆ บนผิวโลกให้เคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยัง
               อีกที่หนึ่ง เช่น น้ำ ลม ธารน้ำแข็ง และแรงโน้มถ่วง เป็นต้น ภูมิประเทศแบบคาสต์มีลักษณะโดดเด่น

               ปรากฏให้เห็นชัดเจนบนภาพถ่ายทางอากาศและภาพจากดาวเทียม ภูมิประเทศแบบคาสต์
               หรือภูมิประเทศของหินปูนที่ถูกกัดเซาะ หรือผุพังจากน้ำฝนและน้ำผิวดินที่ละลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
               จากบรรยากาศจนกลายเป็นกรดคาร์บอนิก ไหลซึมเข้าไปตามรอยแตกหรือช่องว่างต่างๆ ในชั้นหินปูน

               หินปูนถูกละลายและถูกกัดกร่อนมาก เป็นเวลายาวนาน เกิดลักษณะภูมิประเทศแบบคาสต์และถ้ำ
               สามารถแบ่งลักษณะภูมิประเทศแบบคาสต์ออกเป็น 2 แบบ Gorshkov and Yakushowa (1967) คือ

               1) ภูมิประเทศแบบคาสต์พื้นผิว หมายถึง รูปร่างของพื้นผิวที่เกิดจากการไหลของน้ำบนพื้นผิวหินปูน
               และรอยแตกของหินปูนจนเกิดลักษณะภูมิประเทศหรือสัณฐานต่างๆ เช่น แอ่งคาสต์ (Doline)

               คาสต์รูปกรวยและคาสต์รูปหอคอย (Karst cones and Karst tower) กำแพงคาสต์ (Karst wall) เป็นต้น
               และ 2) ภูมิประเทศแบบคาสต์ใต้ผิวดิน หมายถึง รูปร่างของคาสต์ที่เกิดใต้พนผิวจากทางน้ำใต้ดินที่ไหลลง
                                                                             ื้
               ไปตามรอยแตก รอยเลื่อนของหินปูนทำให้เกิดการละลายของหินปูนจนเกิดโพรง หรือช่องว่าง
               มีทั้งช่องว่างในแนวดิ่ง ช่องว่างในแนวราบ และถ้ำ (รูปที่ 3.1 และรูปที่ 3.2)

                              การเกิดถ้ำในหินปูน เริ่มต้นจากน้ำฝนและน้ำผิวดินที่ละลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก

               บรรยากาศจนกลายเป็นกรดคาร์บอนิค [1] มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ไหลซึมเข้าไปตามรอยแตกหรือช่องว่าง
               ต่างๆในชั้นหินปูน และจะทำให้เกิดการละลายของแร่แคลไซต์ (CaCO3) ที่เป็นองค์ประกอบหลักของ
               หินปูน จนกลายเป็นแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต [2] เมื่อเวลาผ่านไปช่องว่างเหล่านั้นก็จะถูกละลาย

               มากขึ้นและขยายจนเป็นโพรงขนาดใหญ่ และโพรงประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นใต้ระดับน้ำ ซึ่งจะเรียก
               โพรงประเภทนี้ว่า โถงน้ำ (phreatic tube หรือ solution channels) ต่อมาเมื่อระดับน้ำใต้ดินลดระดับลง

               หรือแผ่นดินมีการยกตัว ทำให้ระดับน้ำในโถงถ้ำลดลง ถ้ำดังกล่าวจึงโผล่ขึ้นมาอยู่เหนือระดับน้ำ จากนั้น
               น้ำจากเพดานถ้ำ หรือผนังถ้ำไหลซึมเข้ามาในโถงถ้ำที่แห้ง สารละลายแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตเมื่อ

               ได้รับความร้อนจะทำให้เกิดประติมากรรมถ้ำ เช่น หินงอก หินน้ำไหล ม่านหินย้อย ทำนบหินปูน
               และหินย้อย เป็นต้น [3] สามารถที่จะแสดงได้ด้วยสมการทางเคมี ดังนี้คือ

                       H2O (l) + CO2 (g)           H2CO3 (aq) กรดคาร์บอนิก             [1]


                       CaCO3(s)+H2CO3(aq)          Ca(HCO3)2(aq)                       [2]

                       Ca(HCO3)2(aq)               CaCO3(s)+H2O+CO2(g)                 [3]
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33