Page 113 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 113
633
ผิดตรงไหน เอ่อ! มันก็ไม่ได้ผิดตรงไหนนี่นะ มันก็ดีอยู่แล้ว นี่คือคาถามว่ามันผิดตรงไหน มันก็ไม่ได้ ผิดตรงไหน เราก็มีสติอยู่ เราก็มีสติอยู่ก็ดีแล้วไง ไม่มีความทุกข์ สติก็ดี สมาธิก็ดี ก็ดูตรงที่ดีแล้วนี่แหละ ถ้าจะไปให้ดีกว่านี้ ถ้าจะทาให้ดีกว่านี้ จงมองที่เห็น ที่ดีอยู่แล้วนี้ให้ชัด ๆ แล้วเขาจะเปลี่ยน แล้วเขาจะ ดีขึ้นเอง กาลังเขาจะเพิ่มขึ้น ความดีที่มีอยู่แล้ว พอมีกาลังเพิ่มขึ้นเขาจะเดินหน้าไปเอง จึงบอกว่าไม่มี หรอก...สภาวะไม่เกิด เพียงแต่เรามองข้ามความดีของตัวเอง บางครั้งทาไมมันเบานิดเดียว อาการมันเบา นิดเดียวไม่ชัด แต่สภาพจิตที่ดีทีมีความสงบที่มั่นคงนี่นะ กลับไม่ใส่ใจ ไปกังวลกับอาการนิดเดียว ๆ อันนี้ ต้องสังเกต
เพราะฉะนั้นสังเกตให้ดี อันนี้แหละการปฏิบัติธรรม การพิจารณาธรรมเราก็ต้องใส่ใจให้แยบคาย เขาบอกใส่ใจให้แยบคาย อันนี้เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเราด้วย เพราะอะไร สภาวธรรมเหล่านี้เหมือนกับ อารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่รอบ ๆ ตัวเราเข่นเดียวกัน เหมือนรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ บางทีมัน เกิดขึ้นแบบนี้ แค่นี้เอง บางทีเกิดขึ้นตรงนี้นิดเดียว ๆ มันเหมือนกับวนมา แต่บางครั้งนี่กระหน่าเข้ามาเลย สังเกตไหมบางครั้งเวลาเขากระหน่า ก็ไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไรเต็มหมดเลย เดี๋ยวเรื่องโน้นเรื่องนี้เต็มไปหมด แล้วเราก็รู้สึกว่าถูกบีบคั้น พอถูกบีบคั้นทาให้เราไม่สงบ ทาให้เรารู้สึกไม่สบาย แต่พอเรานิ่งปุ๊บ ตั้งสติดี ๆ เดี๋ยวเขาก็คลายไป บางทีก็คลายไป แป๊บเดียว เดี๋ยวเราจะเข้าใจขึ้น อ๋อ! เป็นแบบนี้ ๆ อ๋อ!เป็นอย่างนี้ เป็น ปกติของเขา เพราะฉะนั้นนี่ปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติวิปัสสนา เราพิจารณาให้เกิดปัญญา
แต่ที่สาคัญเลยนะ ปัญญาญาณ ปัญญาที่เรารู้อาการพระไตรลักษณ์นี่นะ อาจารย์บอกว่าเราพร้อม ที่จะรู้อารมณ์ปรมัตถ์ให้เยอะ ทุก ๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นนี่นะ เราสนใจดับ ๆ เกิดดับ ๆ ไม่สนใจว่าเป็นใคร รู้ แต่ว่าเกิดดับ ๆ นะ ไม่รู้ว่าเป็นใครหรอก เสียงนี่นะ...ไม่รู้เสียงของใคร เกิดดัง ๆ แล้วดับ ๆ ๆ ภาพนี้ขึ้น มาแล้วดับ ภาพขึ้นมาเกิดดับ เสียงดังเกิดดับ ๆ เกิดดับรู้ปรมัตถ์อย่างเดียว รู้แต่ว่าพอได้ยินเสียงดับไป จิตสงบขึ้น ดับไปจิตเบาขึ้น ดับแล้วจิตสว่างขึ้น ดับแล้วจิตเงียบไป รู้ตรงนี้รู้อาการเกิดดับแบบนี้ มีอาการ เกิดดับกับสภาพจิตตัวเอง จะเป็นว่างานที่เราทาแบบนี้ แบบนี้ปื๊บ เรามีปัญหากับตัวเองน้อย จะไม่ค่อยมี ปัญหากับตัวเองหรอกนะ เราจะเข้าใจ อ๋อ!เป็นแล้ว รู้แล้วว่า ทาแบบนี้เราไม่วุ่นวายอยู่สงบได้ ทาแล้วรู้สึก จิตเราดีขึ้นแล้ว พัฒนาไปเรื่อย ๆ เอง
เรารู้แล้วสภาวปรมัตถ์เป็นอย่างไร เราปฏิบัติเราเคยถึงสภาวปรมัตถ์ เพราะนั้นต้องอาศัยอารมณ์ ปรมัตถ์ให้เยอะ เพราะสภาวะอารมณ์ปรมัตถ์อาการเกิดดับนี่นะ กิเลสจะอาศัยไม่ได้ กิเลสจะอาศัยอารมณ์ ปรมัตถ์ไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เป็นบัญญัติมีตัวตน กิเลสก็จะอาศัยตรงนั้นเยอะนะ แล้วเราอาศัยปรมัตถ์อย่าง เดียวจะทาอะไรได้ไหม...ได้ เราอยู่กับอารมณ์ปรมัตถ์ของตัวเอง แต่เวลาทากิจกรรมให้บัญญัติกับคนอื่น แต่ปรมัตถ์เราอาศัยปรมัตถ์เป็นที่ตั้ง เกิดดับ แต่บัญญัติ เราก็มองอย่างอื่นที่เราต้องทา ก็เป็นบัญญัติ อย่างไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนไป แบบนั้น เราอยู่กับปรมัตถ์ เราจะดับอารมณ์ได้ง่าย อายุอารมณ์ก็สั้นลงนะ ตัวตนปล่อย ปล่อยทิ้ง ดับไป จะได้แบบ โห! ฉันเห็นชัดแล้วนะ ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่สงสัยในธรรมะ ในคาสอนของพระพุทธเจ้า มีความภูมิใจในธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เราได้เห็น ที่เราเข้าถึง ที่เรา เป็นอยู่