Page 12 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 12
532
พอเริ่มหงุดหงิดก็นั่งไม่ติด... ถ้ามันง่วงมาก ๆ นิ่ง ตั้งใจเลยจะขอพักในสมาธิสัก ๑๐ นาที ขอหลับในสมาธิ สัก ๑๐ นาที ๑๕ นาที ตื่นขึ้นมาค่อยกาหนดต่อ... ดูสบายใจกว่ากันเยอะเลย! สบายใจตรงไหน ? กิเลส ไม่เกิดไง คือแค่เราใช้จังหวะนั้นพักผ่อนด้วยสมาธิ หลับแบบไม่กังวล แล้วเราจะหลับสนิท ตื่นขึ้นมา สดชื่นแล้วเราจะไม่เพลีย ๑๐ นาทีผ่านไป... รู้สึกตื่นตัวขึ้น พร้อมที่จะกาหนดสภาวะต่อ พร้อมที่จะกาหนด อารมณ์ต่อไป
สมมติว่า เราตั้งใจจะนั่งหนึ่งชั่วโมง พอ ๑๕ นาทีง่วงมากเลย ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย เราก็นิ่ง นิดหนึ่ง ขอหลับในสมาธิสัก ๑๐ นาที ขอพักสัก ๑๐ นาที อย่าไปใช้คาว่า “หลับ” เดี๋ยวขอพักสัก ๑๐ นาที ก็คือปล่อยให้หลับไป แล้วก็กาหนดจิต “อีก ๑๕ นาทีจะตื่น” มันเหมือนกับการตั้งนาฬิกาของจิตเรา พอ ถึงเวลาปุ๊บเขาจะดีดปึ๊งขึ้นมา แล้วเราก็ได้พักเรียบร้อยโดยที่ไม่ต้องกระวนกระวาย ทาไมง่วงอย่างนี้ ง่วง อย่างนี้... ไม่ต้องอย่างนั้น! แล้วเขาก็จะใช้งานต่อได้ อันนี้พูดในกรณีที่เราแก้ความง่วงไม่ไหวจริง ๆ แต่ถ้า ยังกาหนดได้ กาหนดไปเลย รู้ไป แก้ไป ตรงนั้นแหละต้องกาหนดรู้
การทดี่ สู ภาพจติ ตรงนจี้ ะทา ใหเ้ ราเหน็ อกี อยา่ งหนงึ่ กค็ อื วา่ อารมณท์ ปี่ รากฏขนึ้ อะไรเปน็ ธรรมชาติ ของจติ ทตี่ อ้ งทา งาน อะไรเปน็ ธรรมชาตขิ องจติ ทตี่ อ้ งเปน็ อะไรทเี่ ปน็ ธรรมชาตขิ องรา่ งกาย เมอื่ เปน็ ธรรมชาติ เราหา้ มเขาเกดิ ไมไ่ ด้ เขาตอ้ งทา หนา้ ที่ อยา่ งเชน่ ธรรมชาตขิ องจติ ตอ้ งทา หนา้ ทรี่ บั รู้ ธรรมชาตขิ องตวั สญั ญา ตอ้ งจา ธรรมชาตขิ องตวั สงั ขารคอื ตอ้ งคดิ แตเ่ มอื่ เราดสู ภาพจติ ตรงนี้ ขณะทสี่ ญั ญาเกดิ ขนึ้ สภาพจติ ยงั สงบ ขณะที่ปรุงแต่งไปจิตก็ผ่องใสไป เพราะฉะนั้น ตัวสังขารการปรุงแต่งนั้นเป็นปุญญาภิสังขาร-การปรุงแต่ง ที่เป็นบุญ แล้วไม่ต้องกังวลเลยว่าทาไมต้องปรุงแต่งเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องห้ามเขาปรุงแต่ง ไม่ต้อง ห้ามคิด แต่คิดอย่างมีสติ ประกอบด้วยปัญญา เพราะจิตเขาต้องคิด ต้องจา
เพราะฉะนั้น ร่างกายของเรา ถึงแม้ไม่มีตัวตน/ไม่มีเรา เขาก็ยังปวดได้ เพราะนั่นคือธรรมชาติ ของร่างกาย ปวดหนัก-ปวดเบาก็คือธรรมชาติของร่างกาย เย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง-เคร่งตึง ถึงแม้ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา เขาก็ปรากฏเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม แต่ความเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง-เคร่งตึง-หนัก-เบาเหล่านั้นมา ปรุงแต่งจิตของเราให้เป็นอกุศลได้ไหม มีกิเลสเกิดขึ้น เกิดความขุ่นมัวเศร้าหมองหรือไม่ ? นั่นจุดหนึ่งที่ พึงพิจารณา เพราะฉะนั้น การดูสภาพจิตของเราบ่อย ๆ เพื่อป้องกันอกุศลที่จะเกิดขึ้น
แล้วการแยกรูปนามแบบนี้ เมื่อเรารู้ว่าอะไรคือธรรมชาติเป็นปกติของสิ่งนั้น ๆ ที่ต้องทาหน้าที่ เรา จะได้ไม่ต้องไปกังวลว่า อย่าทาหน้าที่นะ อย่าทาหน้าที่นะ... แสดงว่าเราเข้าใจผิดแล้ว! ถ้าเราห้ามจิตรับรู้ แสดงว่าเราเข้าใจผิดแล้ว เพราะจิตทาหน้าที่รับรู้ทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นมา เพราะจิตถ้าไม่มีอารมณ์เขาไม่เกิด เพราะฉะนั้น เขาจึงทาหน้าที่รับรู้ แต่สิ่งที่เราต้องดูแลคือ จงรับรู้อย่างไม่มีตัวตนนั่นแหละคือสิ่งที่เราทาได้ เราเป็นผู้กาหนด เราเป็นผู้จัดการให้รับรู้อย่างไม่มีตัวตน รับรู้อย่างไม่มีอกุศล รับรู้ด้วยจิตที่มีสติ-สมาธิ- ปัญญา รับรู้อย่างเข้าใจ แล้วเราจะได้สบายขึ้น
เพราะฉะนั้น ต่อไปจากนี้ทุก ๆ บัลลังก์ เวลาปฏิบัติ ในการกาหนด ไม่ว่าจะเป็นกาหนดอาการเกิด ดบั ของอารมณไ์ หนกต็ าม ขอใหพ้ จิ ารณาอาการทเี่ กดิ ขนึ้ มานนั้ เกดิ ดบั เปลยี่ นไปอยา่ งไร สภาพจติ เราเปลยี่ น