Page 123 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 123
643
อย่างไรก็รู้รส แต่อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ แต่เปรี้ยวบอกได้ เผ็ดบอกได้ เค็มบอกได้ แต่กลมกล่อมล่ะ... บอกไม่แน่ใจ อร่อยหรือเปล่า แต่มันกลมกล่อมมากเลย คือแบบว่า จริง ๆ ก็คือบัญญัติของเราแล้วจะรู้ แบบนวี้ า่ เพราะการรบู้ ญั ญตั ิ บญั ญตั บิ างอยา่ งกม็ ผี ลกระทบตอ่ กายเรา กระทบทางกายกม็ ผี ลกระทบตอ่ จติ กระทบทางกายก็กระทบต่อจิต
ทนี กี้ ารทเี่ รารกั ษาจติ แบบนี้ ทถี่ ามเมอื่ กนี้ คี้ อื วา่ เรอื่ งของโลภะ โทสะ จะละอะไร จะดบั อยา่ งไร ความ คิดที่เกิดขึ้น ความอยากที่เกิดขึ้น เราก็ต้องละ อันไหนชัด ละอันนั้นก่อนเลย รู้ว่าเป็นกิเลสเป็นโทสะ แล้ว ดีไหม ถ้าเราเห็นว่าไม่ดีดับไปเลย จะบอกว่าดับโทสะ ทีนี้จึงบอกว่าดับอย่างไร ตรงนี้แหละ เพราะฉะนั้น การดับอย่างไร การที่เรากาหนดรู้ เห็นจิตกับกายแยกกัน ถ้าแยกกัน สังเกตดูว่าพอเราไปรู้ว่าโกรธ จิตที่ ทาหน้าที่รู้กับความโกรธแยกกัน พอไปรู้ว่าโกรธปื๊บ ความโกรธเป็นอย่างไร ไม่ใช่ไปยึดเอาความโกรธ ฉัน โกรธนะ พอไปยึด สังเกตไหม ปกติส่วนใหญ่แล้วคนเราพอโกรธขึ้นมา ฉันโกรธ ฉันไม่ชอบ ฉันไม่พอใจ ฉันเกิดมาตอนไหน ทาไมถึงคล่องขนาดนั้น ทาไมถึงชานาญขนาดนั้นในความเป็นฉัน
ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นธรรมชาติไม่ใช่เรา แต่ทาไมคล่องมาก อาจารย์จึงบอกว่าเพราะ ฝึกตั้งแต่เริ่มรู้ความนิดหนึ่งแล้ว ของฉัน ๆ ๆ ๆ ๆ ทุกวันก็ของฉัน ฉันหิว ฉันอยาก ฉันร้อน ฉันหนาว เป็นอะไรที่เป็นของฉันหมด พอจะมาละความเป็นเรานี่นะ มันถึงใช้เวลา แล้วก็ไม่ใช่แค่ชาตินี้ เหมือนชาติ ที่ผ่าน ๆ มา เพราะอะไร ตัวนี้เขาเรียกว่า อวิชชา...ครอบงา ๆ อวิชชานั่นคือความรู้ของเราเอง เพราะที่เรารู้ มาเป็นของเราตลอด ที่เราได้ยินมา อะไรก็เป็นของเรา อันนั้นก็ของเรา ใส่ให้เราทั้งหมดเลย ก็เรารู้มา เรา เรียนมา เราเห็นมา กลายเป็นเราทั้งหมด
แต่อยู่ ๆ พระพุทธเจ้ามารื้อหมดเลย ไม่มีอะไรเป็นของเรา มีแต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดเป็นไปตามเหตุ ปจั จยั เพราะฉะนนั้ เชอื่ ไหม...เชอื่ ยาก เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงใชว้ ธิ กี ารใหพ้ จิ ารณา สงั เกต กา หนด รใู้ หช้ ดั เพราะฉะนนั้ ตรงน.ี้ ..ทเี่ ชอื่ ยาก แกค้ วามเหน็ แกท้ ฏิ ฐขิ องเรา แกค้ วามเชอื่ เกา่ ๆ ของเรา กเ็ มอื่ เราเหน็ ความจริงเป็นอย่างนี้ ยังเชื่อแบบเดิมไหม ยังเชื่อว่าเป็นของเราอยู่หรือเปล่า ตรงนี้แหละก็เห็นว่าไม่ใช่ของ เรา แล้วยังคิดว่าเป็นเราอยู่ไหม ...คิด บางครั้งก็ยังคิดอยู่ เดี๋ยวเราจะไม่มีตัวตนในสังคม จริง ๆ แล้ว คา ว่าตัวตนในสังคมคืออะไร...หน้าที่ หน้าที่ที่เรามีต่อสังคมนั้น ๆ สาคัญแค่ไหน ถึงทาอย่างไม่มีตัวตนคน ก็เห็น เพราะว่าหน้าที่ที่เราทา เราทาแบบไหน ทาอะไร สาคัญอย่างไร ไม่สาคัญอย่างไร ถ้าเป็นอะไรที่มัน เด่นอยู่ในที่สว่างอย่างไรคนก็เห็น ถึงทาอย่างไม่มีตัวตนคนเขาก็จ้อง ถ้าอยู่ทางานทาอะไรที่เรารู้สึกทา... คนในมุมลับ คนไม่เห็น ถึงทาแบบมีตัวตนคนก็ไม่มอง ยิ่งมีตัวตนคนเขาหันหน้าหนี
เพราะฉะนั้นนี่ จริง ๆ แล้ว สถานะการกระทากรรมของเราตรงนั้น ทุกคนย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมประกาศตวั เองเหมอื นทเี่ ราทา ความดตี รงนี้ เรามาปฏบิ ตั ธิ รรม ถา้ เขารวู้ า่ เราเปน็ นกั ปฏบิ ตั ิ เดยี๋ วเขาจะ คอยจ้องตลอด เมื่อไหร่จะทาผิด เมื่อไหร่โกรธ ไหนบอกว่าปฏิบัติธรรม อันนี้เขาจะเห็นง่ายมากเลย แต่ถ้า เวลาทาดีเขาจะข้าม อ๋อ! เขาดีปกติของเขา แต่ถ้าโกรธปื๊บ เห็นไหม ไหนบอกว่าดี ก็จะเห็น...นี่คือธรรมชาติ ของเรา