Page 149 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 149
669
การดาเนินชีวิตของเรา นี่คือการที่เราพิจารณามีบรรยากาศรองรับไปเรื่อย ๆ เห็นไหม ยังมีมากกว่านี้นะ แต่พูดได้แค่นี้ พอพูดได้แค่นี้ก็จบแล้วนะ
ทนี ที้ บี่ อกวา่ เราจา เปน็ ตอ้ งใชบ้ อ่ ยแคไ่ หน ทจี่ รงิ แลว้ ไมต่ อ้ งถามหรอก ถา้ อะไรดกี บั ชวี ติ ใชบ้ อ่ ยมาก เท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งใช้บ่อยจิตยิ่งแก่กล้า ยิ่งใช้บ่อยความคมชัดจะมากขึ้น ยิ่งใช้บ่อยยิ่งมีพลังมากขึ้น ไม่ต้อง กลัวว่าเสียพลัง เพราะจิตที่ดีแล้วยิ่งใช้ยิ่งดี ไม่เหมือนอย่างอื่นนะ ไม่เหมือนวัตถุอย่างอื่น บางอย่างยิ่งใช้ ยิ่งสึก แต่ถ้าปัญญายิ่งใช้ยิ่งคม สติยิ่งใช้ยิ่งแกร่ง ยิ่งแก่กล้า สมาธิยิ่งใช้ยิ่งตั้งมั่น ยิ่งแกร่ง แข็งแกร่งมาก ขึ้น ใช้ไปเลย เป็นสิ่งที่ยิ่งใช้ย่ิงดี สติสมาธิปัญญายิ่งใช้ยิ่งดี ไม่ใช่ว่าใช้แล้วเขาจะสึกหรอ...เดี๋ยวไม่มีสติ ไม่ต้องห่วงนะ เพราะเราคนเราถ้าไม่ได้ใช้สติ สติก็จะไม่อยู่ด้วย ไม่มาง่ายด้วย จะไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ หาย ไป ๆ เพราะฉะนนั้ การทหี่ มนั่ สงั เกตบรรยากาศของสภาพจติ บรรยากาศของสภาพจติ บรรยากาศของความ รู้สึก ให้รู้แบบนี้ นี่เป็นทางเดินโดยตรงที่เราต้องทา ที่เราปฏิบัติ
กอ่ นทจี่ ะเหน็ บรรยากาศ สว่ นใหญเ่ รารอู้ าการเกดิ ดบั ไมว่ า่ จะเปน็ กา หนดพองยบุ กา หนดลมหายใจ เข้าออก รู้ ๆ ไป พอดับแล้วก็สุข ดับแล้วก็เบา ดับแล้วเงียบแล้วสงบ แต่ตรงนี้เป็นเรื่องที่สาคัญมาก ๆ ว่า บางครงั้ เราปฏบิ ตั ิ พอเจอความสงบปบุ๊ อยากใหจ้ ติ สงบนาน ๆ แตไ่ มค่ อ่ ยใชค้ วามสงบ ไมค่ อ่ ยเอาจติ ทสี่ งบ นี่นะไปใช้ เพราะแยกไม่ออกว่า จิตที่สงบนั้นใช้งานได้แค่ไหน อย่างไร มันเหมือนกับเราเป็นผู้ดูความสงบ อย่างเดียว ไม่ได้เป็นจิตที่สงบทาหน้าที่รับรู้ได้ ไม่ชัดตรงนี้ ก็เลยเป็นว่า พอทุกครั้งพอความสงบหายไปก็ จะต้องหาใหม่ หาแบบไหน ด้วยการเริ่มต้นใหม่...นั่งใหม่ พอนั่งไปทาไมไม่สงบเหมือนเดิม ไม่สงบเหมือน เดิม ก็เลย...พอไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าทาได้ ทาไม่ได้ ทาได้บ้างไม่ได้บ้าง บางวันก็ได้ บางวันก็ไม่ได้ บางวัน ก็ไม่ได้ทาเลย ก็เลย เอ้!ทาไมมันไม่เกิดขึ้น
เพราะบางครั้งไม่ได้ทานี่แหละ เขาถึงไม่เกิดไม่ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ว่าจริง ๆ แล้ว สาคัญที่สุด ตรงนี้ เราจะเห็นอย่างหนึ่งก็คือ ที่อาจารย์พูดตั้งแต่แรกว่า ในเมื่อเขาอยู่ว่าง ๆ แล้วจิตที่ว่างเขาไม่ดีตรงไหน ที่เรา รู้สึกไม่ดีเพราะว่าเห็นความว่าง แต่ไม่รู้ว่านั่นคือความว่างของจิต หรือจิตว่าง ๆ อยู่ ก็เลยพยายามหาอะไร โดยที่ทาให้ไม่ว่าง ก็เลยรู้สึกว่าก็จิตมันว่างดีอยู่แล้วไง ก็ดูที่จิตที่ว่างสิ เขาก็จะดีขึ้นจนมีกาลังขึ้น แต่พอ จิตว่าง ๆ อยู่ ไม่สนุก ไม่มีอะไร ก็จะพยายามหาอะไรให้มันมี ตอนแรกมันมีเยอะพยายามชาระให้มันว่าง พอมันว่างแล้วพยายามหาอะไรใส่ไม่ให้มันว่าง มันเป็นอะไรที่เหมือนการขัดแย้งกับความรู้สึกตัวเองนะ คือเราพยายามจะละทาให้จิตว่างขึ้น แต่ว่างแล้วแทนที่จะดูจิตที่ว่างดีอย่างไร ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง มี พลังแค่ไหน เพิ่มกาลังเขาอย่างไร กลับรู้สึกว่าหาอะไรอย่างสักอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ว่าง
จริง ๆ นี่แหละคือการปฏิบัติ ทาไมถึงบอกว่าให้สังเกต ให้พิจารณาให้ดีว่าสภาวะที่เกิดขึ้น อย่าง เมื่อคืน ที่บอกรู้จักสังเกตพิจารณาถึงสภาวะที่เกิดขึ้นให้แยบคาย ว่าอาการที่เกิดขึ้นดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร พอเราสังเกตแบบนี้ ขณะนี้จิตมันดีขึ้นจากเมื่อก่อน ที่อาจารย์เขียนกระดานเมื่อตอนกลางวัน ใครไม่มาก็ คงนึกภาพไม่ออก จิตที่ขุ่นมัวมันดับไป เราดับไม่ได้ แต่พอดับใจรู้ปุ๊บ จิตมันเบาขึ้นโล่งขึ้น ก็ต้องรู้ด้วย ว่าความขุ่นมัวหายอย่างไร เพื่อจะรู้ว่าเราแก้ปัญหาเรื่องความขุ่นมัวได้แล้วนะ เราแก้ปัญหาความง่วงได้