Page 186 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 186

706
เพราะอะไร การแยกจติ กบั อารมณ์ รชู้ ดั ถงึ ความเปน็ คนละสว่ น ระหวา่ งจติ กบั อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ตรงนแี้ หละ ทเี่ รากา หนดรชู้ ดั ไดว้ า่ จติ เรากวา้ งไดไ้ กลได้ อารมณก์ จ็ ะอยหู่ า่ งได้ การมองเหน็ กบั มโนภาพทเี่ กดิ ทางใจ เรา บอกมโนภาพ ความคิดที่เกิดทางใจ ลองสังเกตดี ๆ ว่า ไม่ต่างอะไรกัน เพียงแต่เราหลับตาข้างนอกแค่นั้น เอง แต่การใส่ใจเมื่อไหร่ ก็จะมีมโนภาพนั้นปรากฏขึ้นมา ความคิดมีมโนภาพปรากฏขึ้นมา นั่นคือ เป็นรูป ที่ปรากฏขึ้นมา
ทีนี้เรารู้การเกิดดับแบบนี้ เป็นคนละส่วนแล้วรู้เกิดดับ เมื่อไหร่ที่เป็นคนละส่วน อาการเกิดการดับ ของอารมณเ์ หลา่ นนั้ กจ็ ะชดั ขนึ้ จะชดั จะกา หนดรถู้ งึ อาการเกดิ ดบั ไดง้ า่ ยขนึ้ กา หนดรแู้ บบนี้ ทา ตอ่ เนอื่ งไป รู้ให้ชัด ดูสภาพจิตให้ชัด อ่ะ!มีตรงไหนอีก หมดแล้ว พูดอย่างเดียว การที่เราปฏิบัติ เป้าหมายหลักของเรา ชัดอยู่แล้ว มุ่งมรรคผลนิพพาน แต่ขณะที่มุ่งมรรคผลนิพพาน ต้องอาศัยการกาหนดรู้อาการเกิดดับ แล้ว ก็ผลของการรู้อาการเกิดดับ ก็คือตัวสภาพจิตนะ ตัวสภาพจิตของเรา นั่นคือรู้ตรงนั้น
ผลที่ตามมา ยิ่งรู้อาการเกิดดับมากเท่าไหร่ สภาพจิตเปลี่ยนแปลงอย่างไรนะ ตรงนั้นต้องไปด้วย กันเสมอ อาการพระไตรลักษณ์คือแก่น คือเส้นทางที่เราจะต้องเดิน คือการกาหนดรู้อาการพระไตรลักษณ์ แลว้ ผลของการกา หนดรอู้ าการพระไตรลกั ษณ์ นนั่ คอื ผลทเี่ ราตอ้ งรู้ อนั นคี้ อื ยอ่ ใหส้ นั้ ทสี่ ดุ คอื แนวทางตรง นี้ เพราะฉะนนั้ อาการพระไตรลกั ษณน์ น่ี ะ ไมว่ า่ จะเปน็ ตวั สภาพจติ จรงิ ๆ แลว้ จะตอ้ งไมล่ มื วา่ กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะฉะนั้นเขาจะครอบคลุมไปในตัว
จะต้องรู้ว่า เรากาหนดรู้อาการเกิดดับ...ของอะไร สภาพจิตเป็นอย่างไร แม้แต่ตัวสภาพจิตเอง ไป ดูแต่ละครั้ง เขามีอาการเปลี่ยนอย่างไร ก็คืออาการพระไตรลักษณ์ ไม่ใช่ว่ารู้แต่อาการเกิดดับของอารมณ์ อื่น ๆ สภาพจิตไม่ชัดเจน บางครั้งนี่นะ จริง ๆ แล้ว คาถามคือว่า จริง ๆ สิ่งที่ต้องรู้ก็คือว่า เดือนนี้ ตอนนี้ ปฏบิ ตั แิ ลว้ สภาพจติ เปน็ แบบนี้ เวลาเหน็ อะไรปบ๊ึ เราเขา้ ใจไดเ้ รว็ ขนึ้ อนั นนั้ ตอ้ งสรปุ เองไดน้ ะ ไมต่ อ้ งคดิ มาก เหมือนเมื่อก่อน
อนั นตี้ อ้ งเปรยี บเทยี บตวั เองไดว้ า่ เราจะตอ้ งเปรยี บเทยี บกบั ตวั เองไดว้ า่ เมอื่ กอ่ นเราเหน็ อะไร รสู้ กึ กวา่ จะเขา้ ใจ...ใชเ้ วลานาน แตต่ อนนพี้ อสภาพจติ เปลยี่ นเปน็ แบบนี้ เหน็ ปบุ๊ เขา้ ใจไดง้ า่ ยขนึ้ เยอะเลย ปบ๊ึ ทนั ที ๆ อันนี้เกิดจากปัญญา ถามว่าต้องคิดไหม ถ้าโดยกระบวนการก็จะมีนิดหนึ่ง แต่ด้วยความไวของจิต จึง ไม่ต้องคิดนานเหมือนเดิม จึงรู้สึก เห็นแล้วรู้สึกเข้าใจได้เลย อันนั้นไม่ต้องคิดนะ แต่วิถีจิตยังต้องทางาน รวบรวมวิเคราะห์เหมือนเดิม แต่ถ้าสติ จิตเราเปลี่ยนไป ความไวของจิตมากขึ้น ก็สรุปอารมณ์ได้เร็วขึ้น ก็ จบเร็วขึ้น เห็นปุ๊บเข้าใจ เข้าใจได้ง่ายขึ้น อันนั้นคือเป็นแบบนั้น
เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้ว เราปฏิบัติตรงนี้เราต้องรู้ว่า นี่คือผลของการปฏิบัติ การเจริญสติของเรา ปฏบิ ตั มิ าแลว้ ทา ใหเ้ ปน็ แบบนี้ อนั นตี้ อ้ งสรปุ ไมใ่ ชว่ า่ คดิ หรอื ไมค่ ดิ บางเรอื่ งตอ้ งคดิ บางเรอื่ งไมจ่ า เปน็ ตอ้ ง คิดมาก เพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ พอเกิดขึ้นซ้าปุ๊บ เข้าใจได้เลย ตรงนี้เป็นอย่างนั้น นั่นคือสาเหตุ ตรง นถี้ า้ สรปุ นนี่ ะคอื การพจิ ารณาแบบนนี้ นี่ ะ เราจะรทู้ มี่ าทไี่ ป พอถามแบบนปี้ บ๊ึ เราเหมอื นกบั ปฏบิ ตั มิ าทงั้ หมด เหมือนเราเชื่อมโยงกันไม่ถูก ไม่รู้...เขาเรียกที่มาที่ไปของเขา


































































































   184   185   186   187   188