Page 33 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 33
553
พอมีอกุศลปรากฏขึ้นมา มีเจตนาที่จะเข้าไปดับ ก็จะดับได้ง่าย และเห็นได้เร็วว่ามีอารมณ์ที่ เป็นอกุศลปรากฏขึ้นมา พอปรากฏเกิดขึ้นมานิดหนึ่งก็เห็น อกุศลเกิดขึ้นแล้วนะ ยิ่งมีเจตนาที่จะรู้ด้วย ความรู้สึกที่ไม่มีตัวตนไม่มีเรา เข้าไปพิจารณาถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป จิตจะคลายจากอุปาทาน และ เห็นความเป็นจริงของรูปนามขันธ์ห้าว่าเป็นอย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า “สัพเพ สังขารา อนิจจา สพั เพ สงั ขารา ทกุ ขา สพั เพ ธมั มา อนตั ตา” สงั ขารทงั้ หลายทงั้ ปวงไมเ่ ทยี่ ง สงั ขารทงั้ หลายทงั้ ปวงเปน็ ทกุ ข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา คือมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป บังคับบัญชาไม่ ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่กาลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์นั่นเอง
วันนี้เป็นวันแรกของการปฏิบัติธรรม สิ่งที่อาจารย์พูดมาเป็นหลักของการปฏิบัติโดยสังเขป หลัก ของการเจริญกรรมฐานให้พิจารณาในลักษณะอย่างนี้ ให้มีเจตนาที่จะรู้ถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปของรูป นามขันธ์ห้าในทุก ๆ ขณะในทุกอิริยาบถ ให้สนใจอาการพระไตรลักษณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อ ปฏิบัติเสร็จแล้วพรุ่งนี้ก็มาส่งอารมณ์มาคุยกันดูว่า ปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร ส่งผลดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร สงสัยตรงไหน ไม่เข้าใจตรงไหน เพื่อจะรู้รายละเอียดของสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เรามีปัญหาตรงไหนติดขัด ตรงไหนจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาตรงนั้นไป เพื่อความเจริญความงอกงามในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ต่อไปนั่งสงบ นิดหนึ่ง แล้วจะได้แผ่เมตตากัน
กอ่ นทจี่ ะแผเ่ มตตา ขอใหเ้ ราทา ใจใหส้ บาย ๆ ทา ใจใหว้ า่ ง ๆ ทา ใจใหผ้ อ่ นคลาย แลว้ นอ้ มระลกึ นกึ ถงึ บุญกุศลที่เราได้ทา น้อมเข้ามาใส่ใจที่ว่าง ๆ ที่เบา ๆ ที่สบาย ๆ นั่นแหละ น้อมระลึกนึกถึงบุญกุศลต่าง ๆ ที่เราได้ทาเข้ามาใส่ใจของเราให้เต็ม ให้ใจเราเต็มไปด้วยพลังบุญ เพราะการแผ่เมตตาคือการแผ่ความสุข แผบ่ ญุ ใหท้ งั้ ตวั เองและผอู้ นื่ บญุ จะมพี ลงั ตอ่ เมอื่ จติ เราวา่ ง บญุ เกดิ จากการทา ความดี เพราะฉะนนั้ ความดี ต่าง ๆ ที่เราเคยได้ทาไว้แล้ว แม้ขณะที่กาลังทาอยู่นี้ จงน้อมระลึกนึกถึงบุญที่เราได้ทา นึกถึงแล้วเกิดความ รู้สึกสุขใจอิ่มใจ แล้วให้ความสุขความอิ่มใจเต็มบริเวณหัวใจ เต็มทั้งตัว...ให้ล้นจากตัว แล้วให้จิตที่มีความ สุขนี้กว้างออกไป เต็มทั้งศาลา เต็มทั้งบริเวณที่เราปฏิบัติธรรมอยู่นี้ เมื่อเราน้อมถึงบุญกุศลของเราจนรู้สึก จิตเราเต็มไปด้วยพลังบุญเต็มไปด้วยความสุขแล้ว ให้อธิษฐานจิตให้กับตนเอง
ด้วยอานุภาพแห่งบุญนี้ จงมาเป็นตบะ เป็นพลว เป็นปัจจัย ให้เราเป็นผู้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มี ด ว ง ต า เ ห น็ ธ ร ร ม แ ล ะ เ ข า้ ถ งึ ธ ร ร ม โ ด ย ฉ บั พ ล นั . . . จ า ก น นั ้ ใ ห แ้ ผ จ่ ติ ท เี ่ ป น็ บ ญุ อ นั น ใี ้ ห ก้ ว า้ ง อ อ ก ไ ป ไ ม ม่ ขี อ บ เ ข ต ไม่มีประมาณ ให้จิตท่ีเป็นบุญนี้กว้างออกไปกว้างเท่าจักรวาล ให้จิตที่มีความสุขนี้กว้างออกไปกว้างเท่า จักรวาล แล้วตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลอันนี้ให้กับผู้มีพระคุณทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมโลกเกิดแก่เจ็บตาย เทวดาทั้งหลาย ทั้งที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้และ ที่อื่น ๆ จงรับรู้ถึงบุญกุศลที่เราได้แผ่ไปแล้วนี้ เมื่อรับรู้แล้วก็ขอให้อนุโมทนา เมื่ออนุโมทนาแล้ว ถ้ามีทุกข์ ก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้ามีสุขก็ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้ามีเวรมีภัยต่อกันก็ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน เพื่อ ความเจริญความผาสุกในชีวิตตลอดไป