Page 85 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 85
605
เห็นอะไรแบบไหน เห็นอย่างมีตัวตน เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา พอมีการเปลี่ยนแปลง ก็รู้สึกชอบไม่ชอบขึ้นมา อันนี้ก็อย่างหนึ่ง
ถ้าเราเห็นแบบนี้เห็นตัวเองชัด เห็นพัฒนาตัวเองมากขึ้น มีอิสระไม่ถูกเงื่อนไข ไม่ถูกล็อก ไม่ถูก พันธนาการนะ ไม่ถูกพันธนาการด้วยอวิชชา ด้วยโมหะ ด้วยโลภะ ด้วยโทสะแล้ว ลองดูว่าสภาพจิตใจเป็น อย่างไร มีความสบายแค่ไหน การที่เกิดขึ้นแบบนี้คนเราส่วนมาก เพราะอะไร ที่เขาบอกว่าเห็นตัวเองเห็น คนอื่น เพราะส่วนใหญ่ก็คือ มีอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นมูล ในการกระทาในความคิดที่เกิดขึ้น มีโลภะเป็น เหตุมีโลภะเป็นมูล มีโทสะเป็นเหตุเป็นมูล เป็นตัวผลักดันเป็นฐาน มีโทสะทาให้การกระทาคาพูดแบบนั้น ขึ้นมา ให้สภาพจิตใจเป็นแบบนั้น นี่อย่างหนึ่ง ที่บอกว่าเห็นตัวเองแล้วเข้าใจข้างนอกได้อย่างไร
น นั ่ แ ห ล ะ ก า ร พ จิ า ร ณ า ธ ร ร ม ต ร ง น จี ้ งึ เ ป น็ ส งิ ่ ส า ค ญั แ ส ด ง ว า่ โ ล ก ส ตั ว โ์ ล ก ต า่ ง ๆ ท งั ้ ห ล า ย จ ะ ม แี ร ง ข บั ดันด้วยโลภะ โทสะ โมหะ หรืออโลภะ อโทสะ อโมหะ คือประกอบด้วยปัญญา บางคนทาอะไรที่ประกอบ ด ว้ ย ป ญั ญ า ม ปี ญั ญ า เ ป น็ ต วั ข บั ด นั ท า ด ว้ ย ค ว า ม เ ข า้ ใ จ ล อ ง ด วู า่ ก า ร ก ร ะ ท า น นั ้ เ ป น็ อ ย า่ ง ไ ร ก า ร ก ร ะ ท า ต า่ ง ๆ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ตอ้ งเกดิ ขนึ้ จากโลภะ โทสะ โมหะทงั้ หมด เหมอื นทเี่ รามาปฏบิ ตั ธิ รรมเราไมไ่ ดท้ า เพราะ มีโลภะ แต่เป็นการกระทาที่ประกอบด้วยปัญญา รู้ว่าควรทา รู้ว่าการกระทา การปฏิบัติธรรมนั้นดีอย่างไร มีผลดีต่อชีวิตอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร มีอานิสงส์มากน้อยแค่ไหน จึงได้สละเวลามาปฏิบัติธรรม จึง ได้ขวนขวายเพื่อที่จะปฏิบัติ เพื่อที่จะขัดเกลาจิตใจของตน อันนี้ไม่ได้อาศัยความเป็นโลภะเป็นมูลฐาน แต่ อาศัยปัญญา ตรงนี้แหละคือตัวสาคัญ
เพราะฉะนั้น เมื่อเราอาศัยปัญญาในการมาปฏิบัติธรรม ก็ต้องอาศัยปัญญาในการพิจารณาสภาว ธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ ไมว่ า่ จะเปน็ ลมหายใจ เปน็ อาการทางกาย เปน็ เวทนา เปน็ ความคดิ เปน็ สภาวธรรมทงั้ ภายใน ภายนอกทเี่ กดิ ขนึ้ วา่ มกี ารเปลยี่ นแปลงเกดิ ดบั อยา่ งไร เมอื่ เราทา แบบนอี้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง การปฏบิ ตั ธิ รรมกจ็ ะ ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นขอให้รู้ให้ชัด การรู้ชัดถึงความแตกต่าง ของอาการเกิดดับแต่ละอารมณ์ ที่ต่างไป รู้ชัดถึงสภาพจิตที่ต่างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพจิตที่เปลี่ยนไป ให้รู้ว่าดีก็คือดี สงบแล้วดีก็ ต้องรู้ว่าดี ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ไม่ใช่ว่ารู้สึกว่ามันน่าจะดีมากกว่านี้ ใช่...น่าจะดีมากกว่านี้ แต่ถ้าตอนนี้ดีอยู่ก็ ให้รู้ชัดว่าดี ถ้ารู้ชัดว่าปัจจุบันดีแบบนี้ แป๊บเดียวเขาจะเปลี่ยนเป็นดีกว่าเดิม แต่ถ้ารู้สึกว่าตอนนี้ดีแล้ว แต่ ไม่พอใจในความดีที่มีอยู่นะ ไม่พอใจในความดีที่มีอยู่ ไม่ได้ใส่ใจจิตที่ดี ความดีที่มีอยู่เขาลดลง ที่อยาก เพิ่มขึ้นก็ไม่เพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นการดูจิตที่ดีแล้ว เอ้อ!ตอนนี้สงบนะ ไม่มีกิเลส แต่รู้สึกว่ากาลังน้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ ก็ยังดีอยู่ พอดีแบบนี้เมื่อไหร่ เข้าไปรู้ให้ชัด...จิตที่ดี แต่กาลังน้อยนี่นะเข้าไปรู้ให้ชัดเดี๋ยวกาลังก็เพิ่ม แค่ อึดใจเดียวพลังเขาเพิ่มทันที ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลานานพลังถึงจะเพิ่มขึ้นมา นี่แหละดี...ก็รู้ว่าดี ไม่ดีก็ให้รู้ว่า ไม่ดี อย่าอนุมานหรือคิดว่าน่าจะ...เพราะไม่ใช่จิตคนอื่น เป็นจิตของเราเอง ดีตรงไหน ดีตรงที่ไม่มีกิเลส ดีตรงที่ไม่มีตัวตน ดีตรงที่สงบ ดูตรงที่โล่ง ๆ ดูตรงที่ว่าง ๆ ถึงแม้พลังไม่เยอะแต่ก็รู้สึกว่าง ๆ อยู่ ดูจิตที่ ว่างดีไหม... ดี เมื่อไหร่ เห็นความดีของจิตที่ดี ความดีเขาจะเพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติ