Page 10 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 10

870
ต้องไปถามคนอื่นไกล มีความขุ่นมัวเศร้าหมองไหม มีความอยาก มีความเกลียด มีความกลัว มีตัวตนเกิด ขึ้นหรือเปล่า... สภาวะเหล่านี้โยคีจะต้องพิจารณาทบทวนสังเกตให้ดี
เพื่ออะไร ? เพื่อตัดความสงสัยของตัวเองนั่นแหละ เพื่อตัดความสงสัยในสภาวธรรม เขาเรียกตัด ตัว “วิจิกิจฉา” ความลังเลสงสัยในสภาวธรรมที่กาลังปรากฏว่าเป็นของจริงไหม เกิดขึ้นจริง ๆ ไหม หรือคิด เอาเอง หรือว่าเป็นอย่างไร... จะได้พิจารณาดูว่าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นเราทาถูกไหม ทาไมจิตใสแบบนี้ ทาไม เบาแบบนี้ โล่งแบบนี้ เราทาถูกหรือเปล่า ? และจะได้ตอบตัวเองถูกว่า โล่งแล้วมันมีกิเลสไหม เบาแล้วมี กิเลสไหม ใสแล้วมีกิเลสไหม จะได้รู้ว่าจิตที่มีกิเลสจะใสได้ยังไง หรือว่าเป็นเพราะกิเลสมันน้อยลงบางลง ไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลส จิตถึงใสขึ้นสะอาดขึ้น
ถ้าเราเห็นว่าการกาหนดรู้อย่างนี้ทาให้จิตเราผ่องใสขึ้นสะอาดขึ้น ก็กลับมาถามตัวเองใหม่ว่าแล้ว การปฏิบัติตรงนี้ผิดตรงไหน... เป้าหมายเป็นไปเพื่อการชาระเพื่อการขัดเกลาจิตใจของตนไม่ใช่หรือ ? แต่ สภาวธรรมทเี่ ปน็ เปา้ หมายทเี่ ราจะเดนิ ไปใหถ้ งึ เพอื่ การบรรลธุ รรมหรอื เพอื่ การละกเิ ลสอยา่ งหมดจดสน้ิ เชงิ นนั้ เมอื่ ไหรก่ เ็ มอื่ นนั้ แหละ เราไมส่ ามารถกา หนดเวลาไดห้ รอก ใครจะรวู้ า่ บารมเี ราสงั่ สมมามากนอ้ ยแคไ่ หน แตป่ จั จบุ นั ทเี่ ราทา ไปเราสามารถรไู้ ดว้ า่ สตขิ ณะนเี้ ปน็ อยา่ งไร สภาพจติ ขณะนเี้ ปน็ อยา่ งไร ดขี นึ้ อยา่ งไร หรอื ไม่ดีอย่างไร... ตรงนี้แหละที่เราสามารถรู้ได้
การพิจารณาสภาวธรรมที่เกิดขึ้น การที่เรากาหนดอาการพระไตรลักษณ์อย่างนี้ ถามว่า เรากาหนด ถูกตรงตามที่พระองค์ทรงตรัสไหม ? การที่เรามีเจตนาเข้าไปกาหนดรู้อาการเกิดดับของรูปนามที่ละเอียด ขึ้นแยบคายขึ้นผิดตรงไหน ? จะได้บอกตัวเองได้ว่าเราทาผิดหรือไม่ ถ้าทาแล้วมีอกุศลมีตัวตนเกิดขึ้น ลองพิจารณาดูว่า ทาด้วยจิตประเภทไหน ทาอย่างไรทาไมอกุศลถึงเกิด ? ทาด้วยความไม่พอใจ ทาด้วย ความไม่เข้าใจ หรือทาด้วยความอยากที่มันแก่กล้า มีอัตตาเต็มที่ อยากให้ได้อย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้ โดยที่ไม่พิจารณาสภาวะที่เขาเป็น
บางครั้งโยคีมองข้ามความดีของจิตตนเองที่เกิดขึ้น จากที่เคยกาหนดอาการเกิดดับของ ลมหายใจ กาหนดอาการเกิดดับของเวทนา กาหนดอาการเกิดดับของพองยุบ... ขณะที่ตามกาหนดรู้ไป มีความตื่นเต้นมีความรู้สึกเบิกบานสนุกสนาน ยิ่งกาหนดไป อาการเกิดดับวูบหาย ดับวาบไป สว่างขึ้น ๆ เป็นขณะ เห็นอะไรก็ดับทันที ความคิดขึ้นมาก็ดับทันที... มีความเพลิดเพลินมีความเบิกบานในธรรม แต่พออาการเกิดดับของอารมณ์เหล่านั้นหมดไป เหลือแต่จิตว่าง ๆ เบา ๆ โล่ง ๆ ใส ๆ กลับไม่พอใจจิต ที่ใส ๆ โล่ง ๆ เบา ๆ อันนั้น ถามว่า จิตที่โล่ง ที่เบา ที่ใสนั้นดีไหม ? สภาพจิตจริง ๆ ดี แต่เพราะความ ไม่เข้าใจ
พอไม่เข้าใจไม่พอใจเท่านั้นแหละความขุ่นมัวก็เกิดขึ้น แสดงว่าเราไม่ได้พิจารณาดูสภาพจิตที่เป็น อยู่จริง ๆ แต่ไปอาศัยความคิดความอยากอย่างเดียวว่ามันต้องอย่างนั้นมันต้องอย่างนี้ ไม่ได้ดูสภาพจิตว่า จรงิ ๆ แลว้ เขาดอี ยู่ ไมม่ กี เิ ลสตวั ไหนเลย แลว้ ทา อยา่ งไรถงึ จะพฒั นาขน้ึ ถงึ จะกา้ วหนา้ ขนึ้ ? กพ็ อใจความดี นนั่ แหละ ถา้ เราพอใจสภาพจติ ทดี่ ที สี่ งบทผี่ อ่ งใสอยู่ เดยี๋ วจติ ทดี่ ที ผี่ อ่ งใสกจ็ ะมคี วามชดั เจนขนึ้ มกี า ลงั มาก


































































































   8   9   10   11   12