Page 62 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 62

922
ความรู้สึกเราจะไม่จ้อง แต่ถ้าเมื่อไหร่เผลอใช้ตา เขาก็จะจ้องทันที จะใช้แบบไหน ปกติเราก็ใช้ตาดู ตาเรา กเ็ ปน็ หนา้ ตา่ งของหวั ใจ ของจติ เรา ถามวา่ หลบั ตา ถา้ เราหลบั ตาปบุ๊ จติ เราสงั เกตอยา่ งไร ถงึ วา่ ไมต่ อ้ งใชต้ า
ลองสงั เกตงา่ ย ๆ วา่ พอเรามอง ตงั้ สายตาไวข้ า้ งหนา้ แหละ แลว้ เรากระดกิ นวิ้ รสู้ กึ ไหมวา่ นวิ้ กระดกิ ไม่ต้องมองนิ้วแต่ก็รู้สึกได้ นั่นคือจิตเข้าไปโดยที่ไม่ต้องใช้ตา เห็นไหม ความรู้สึกเรา ไปโดยที่ไม่ต้องใช้ตา เพราะโดยทวั่ ไปจติ จะไปได้ ไมต่ อ้ งใชต้ านา เพราะเราเคยใชแ้ บบนี้ เพราะจติ ทที่ า หนา้ ทรี่ ทู้ างตา กต็ อ้ งอาศยั ตา อันนี้อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น การใช้ความรู้สึกเข้าไปที่อาการ เกาะติดอาการ ให้ถึงอาการ เขาจะเห็น อาการดับชัด พออาการดับตรงนี้แหละ อาการดับจิตดับ จิตที่รู้กับอาการดับไหม ตรงนี้ก็จะชัดตามมาอีก
ตรงนี้จะเป็นการตัด พอมันเริ่มคิด เราก็ตัดปุ๊บเลย เริ่มคิดจิตมันดับฟึ๊บไป พอเริ่มรู้ว่าคิด เห็นจิต ดับฟึ๊บ ความคิดหายวูบไป พอกาลังจะปรุงปุ๊บฟึ๊บไป เวทนาขึ้นมา พอกาลังจะปรุง รู้สึกเป็นเวทนา รู้ปุ๊บก็ ดับฟึ๊บไป เขาตัด ๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ ตรงที่ไม่ปรุงแต่งเป็นอะไร เขาเรียกตัดมโนกรรม เพราะการปรุงแต่ง คือเป็นมโนกรรม การสร้างกรรม เพียงแต่มโนกรรมนี่นะ จะปรุงแต่งด้วยปัญญา ด้วยตัณหา ด้วยอวิชชา ด้วยโทสะ ปรุงแต่งด้วยจิตประเภทไหน
ตรงนี้แหละ ด้วยความไว ถ้าใครชานาญที่จะปรุงแต่งด้วยโทสะ ก็กระทบปุ๊บฟึ๊บขึ้นมา เขาก็จะทา หน้าที่โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นการที่เราปฏิบัตินี่นะ การกาหนดรู้ตรงนี้เกิดดับไป จิตเราเปลี่ยน เปลี่ยน ตรงที่ โลภะลดลง โทสะลดลง โมหะลดลง เหลืออะไร เหลือจิตที่เป็นกุศล จิตที่สงบ จิตที่ตั้งมั่นทาหน้าที่ รับรู้ เพราะฉะนั้นผัสสะกระทบปุ๊บ แทนที่ตัวโทสะหรือโมหะขึ้นมาทาหน้าที่ กลายเป็นจิตที่ตั้งมั่น จิตที่สงบ จิตที่มั่นคง ทาหน้าที่รับรู้อารมณ์
เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกว่า กระทบแล้วเข้าไม่ถึงใจ เขาอยู่ในที่ว่าง ๆ กระทบแล้วไม่ทุกข์เหมือนเดิม เพราะจติ ทที่ า หนา้ ที่ จติ ทฝี่ กึ ดแี ลว้ จติ ทเี่ ราฝกึ พฒั นาอยเู่ รอื่ ย ๆ กา ลงั เขามากขนึ้ เขาทา หนา้ ทเี่ องโดยปรยิ าย แต่ตอนฝึกนี่เราต้องเพิ่มพลังให้เขา เพิ่มความสงบ ความสุข ความผ่องใส ความตื่นตัว ความตั้งมั่น อันนี้ เพิ่มได้ เป็นการเพิ่มพลังจิตเรา อันนี้เพิ่มได้ เป็นการฝึกจิตตัวเองให้มีกาลังมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากตัดวัฏสงสาร ก็ต้องมาเจริญกรรมฐาน ทาให้มาก รู้อาการพระไตรลักษณ์ เห็นกาหนดรู้อาการเกิดดับของรูปนามให้เยอะ ของรูปนามขันธ์ ๕ ให้เยอะ คาว่ามาปฏิบัติกรรมฐานนี่นะ ก็ ไมไ่ ดค้ วามวา่ ตอ้ งมาทวี่ ดั ตลอดหรอก อยทู่ บี่ า้ น กม็ เี จตนาทมี่ าใสใ่ จ อาการเกดิ ดบั ของรปู นามของตวั เอง อยู่ ตรงไหนก็พอใจ ใส่ใจ ที่จะกาหนดรู้ให้ต่อเนื่อง ให้ความสาคัญกับอาการ เป็นการให้ความสาคัญกับอาการ
พัฒนาปัญญาทางธรรม คือปัญญาที่รู้ถึงสัจธรรมจริง ๆ รู้ถึงสัจธรรมความเป็นจริงของรูปนาม ของรูปของชีวิต แล้วจะตัดวัฏสงสารได้ ที่สุดแล้ว จะทาให้เราดับทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้ เพราะฉะนั้นนี่คือ ถ้า จะพูดถึงเรื่องของการกาหนดอารมณ์ เพื่อตัดวัฏสงสาร ตัดปฏิจจสมุปบาท การที่จะตัดได้จริง ๆ คือเข้าสู่ สภาวปรมัตถ์ เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลสตัวไหนแฝง มีแต่รูปนามปรมัตถ์ที่เกิดดับ รู้ถึงอาการเกิดดับของ รูปนาม เพราะฉะนั้น ก็จะตัดเป็นสมุจเฉท เป็นขณะ เป็นครั้งไป


































































































   60   61   62   63   64