Page 71 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 71

931
ทนี ที้ า อยา่ งไร การกา หนดรเู้ วทนา การทเี่ รากา หนดรถู้ งึ การเกดิ ขนึ้ ตงั้ อยู่ ดบั ไปของเวทนา ถา้ กา หนด รู้ต่อเนื่อง สติมีกาลังมากขึ้น บางครั้งเวทนาจะหายไป หรือมีสติมากขึ้น จะเห็นว่าเวทนา...ความปวดกับจิต แยกกัน มันอยู่คนละส่วนกัน กาหนดไปสักระยะ ตอนแรก ๆ เหมือนอยู่ที่เดียวกัน บีบคั้นมาก ๆ พอสติ มีกาลังมากขึ้น จิตหลุดออกมาจากเวทนาทางกาย แยกออกมาแล้ว จิตเกิดความผ่องใสขึ้นมา ความปวด ตั้งอยู่ในที่ว่าง ๆ ไม่ใช่ของเรา อันนี้คือจะทาให้ ปัญญา...แม้แต่เวทนาที่เกิดขึ้นกับจิตของเรา เขาเป็นคนละ ส่วนกัน ตรงนี้แหละเขาประกาศตัวเขาเองว่า เวทนาก็ไม่ใช่ของเรา
การกา หนดรตู้ รงนนี้ ะ การอดทนสู้ รชู้ ดั ในอาการทเี่ กดิ ขนึ้ จติ เขาจะแยกโดยปรยิ าย ตรงนคี้ อื ปญั ญา เขาเรยี กภาวนามยปญั ญา เกดิ จากการกา หนดรจู้ นเหน็ ชดั ทา ไมถงึ หลดุ ออกมาได้ เพราะสตสิ มาธปิ ญั ญาแก่ กล้าขึ้น การที่จะเข้าไปหลงยึดเอาว่า เวทนาเป็นของเรานั้นไม่ได้แล้ว เพราะเขาบังคับไม่ได้ บังคับให้เวทนา เปน็ ไปตามปรารถนาความตอ้ งการไมไ่ ด้ เขาจงึ หลดุ ออกมา บางครงั้ กา หนดรไู้ ปสกั พกั สตมิ กี า ลงั มาก ๆ อยู่ ๆ เวทนาหลุดฟึ๊บไป หายไป กลายเป็นโล่งเบา เหลือแต่จิตทาหน้าที่รู้ว่าง ๆ อันนั้นก็เป็นตัวเวทนา ก็ไม่ใช่เรา
เวทนามันดับไปแล้ว เหลือแต่จิตที่อยู่นิ่ง ๆ ทาหน้าที่รับรู้ถึงจิตที่ว่าง ๆ สงบอยู่ ว่าเวทนาหลุดไป เวทนากับจิตก็ไม่ใช่ส่วนเดียวกัน เวทนากับจิตเป็นคนละส่วนกัน เวทนาไม่ใช่ของเรา แล้วจิตที่ทาหน้าที่รู้นี่ นะ เขาบอกว่าเป็นเราด้วยไหม นี่คือสภาวะ ถามว่าทาไมเราต้องกาหนดรู้เวทนา เวทนาไม่เที่ยง เวทนาขันธ์ ที่เกิดขึ้นนี่นะ ที่บอกเป็นธรรมดาอยู่ เวทนาที่เกิดขึ้นนี่นะ เราเกิดขึ้นมาแล้วมีเวทนาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ การกา หนดรแู้ บบนี้ ใหร้ ชู้ ดั ในอาการของเวทนาทเี่ กดิ ขนึ้ จนจติ เขาหลดุ มาแยกออกจากเวทนาเอง ตรงนเี้ ขา เรียกว่าภาวนามยปัญญา เห็นชัด แต่ไม่ใช่เกิดจากการคิดเอา
แตเ่ กดิ จากการเขา้ ไปกา หนดรแู้ ละเหน็ เหน็ แจม่ แจง้ ดว้ ยตวั เองวา่ จรงิ ๆ แลว้ เขาเปน็ แบบนี้ เพราะ ต่อไปเวทนาเกิดขึ้นใหม่ เมื่อไหร่ที่ได้เห็นแบบนี้แล้ว เห็นว่าเวทนากับจิตเป็นคนละส่วน พอเวทนาเกิดขึ้น ครั้งต่อไป จิตจะไม่หลงเข้าไปยึดว่า เวทนานั้นเป็นเราอีกต่อไป มีแต่ทาหน้าที่รู้ อาการของเวทนาที่เกิดขึ้น ว่าเกิดดับอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงพูดตั้งแต่แรกว่า เราควรจะรู้ว่าเป้าหมายของการปฏิบัติ ของการกาหนด รู้ เราปฏบิ ตั เิ พอื่ การดบั ทกุ ขน์ นี่ ะ การทจี่ ะออกจากทกุ ขอ์ ยา่ งสนิ้ เชงิ เรากต็ อ้ งเหน็ ชดั ถงึ สจั ธรรมขอ้ นี้ ทบี่ อก ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่คือเวทนา
ถา้ เปน็ เวทนาทางกาย จติ แยกจากเวทนาทางกายได้ ถงึ แมเ้ วทนานนั้ ยงั ตงั้ อยู่ เวทนาทางกายยงั มอี ยู่ เป็นทุกขเวทนา แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่จิตหลุดออกจากเวทนา จิตตรงนั้นเป็นอย่างไร จิตตรงนั้นก็จะเป็นจิตที่ มีความสงบ มีความตั้งมั่น มีความผ่องใสขึ้นมา แทนที่จะเป็นทุกขเวทนาทางจิต...จะเป็นความขุ่นมัวเศร้า หมอง จิตกลับเป็นความผ่องใส จิตกลับรู้สึกผ่องใสขึ้นมา เวทนาทางกายก็สักแต่เป็นเวทนา ไม่ใช่ของเรา จิตจึงมีความผ่องใส เพราะฉะนั้น เวทนาทางกายตรงนี้ บีบคั้นจิตไม่ได้ ทาไมถึงผ่องใส ตรงนี้แหละ การ กาหนดรู้เวทนาจึงเป็นสิ่งสาคัญ
และอีกส่วนหนึ่งก็คือว่า การกาหนดรู้เวทนาในแต่ละครั้ง ในแต่บัลลังก์นี่นะ เมื่อมีเวทนาเกิดขึ้น... ครั้งต่อไป ให้เราสังเกตถึงลักษณะความต่างของเวทนาว่า คราวที่แล้วเวทนาทางกายความปวดเป็นแบบนี้


































































































   69   70   71   72   73