Page 69 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 69

929
อยา่ งไรกอ็ ยา่ งนนั้ ขอใหต้ งั้ ใจเขา้ ไปกา หนดรอู้ ยา่ งเดยี ว ตามรอู้ ยา่ งเดยี ว สนกุ กบั การตามรู้ ไมต่ อ้ งไปกงั วล หรอกว่า จะไม่สงบ ไม่ต้องห่วงนะ เมื่อไหร่ที่สติเราอยู่กับปัจจุบัน เดี๋ยวก็สงบ
เหมอื นอยา่ งทเี่ ราเคยปฏบิ ตั ิ พอตามรลู้ มหายใจไปเรอื่ ย ๆ ๆ พอลมหายใจหายไป ใจเรากส็ งบเงยี บ ไป หรือหลับไป สงบจนหลับก็มีนะ สงบมากจนหลับไป บางคนนั่งเท่าไหร่ก็ไม่สงบ มารู้ตัวอีกทีตื่นขึ้นมา แลว้ เมอื่ กนี้ หี้ ลบั ไปยงั ไมร่ ตู้ วั เลย อนั นนั้ คอื อยา่ งหนงึ่ ทนี วี้ า่ เวลาเรากา หนดแบบนี้ นอกจากอาการทางกาย นี่คือเขาเรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตามกาหนดรู้อาการทางกาย นอกจากลมหายใจ นอกจากอาการ พองยุบ มีอะไรอีก อย่างที่บอกเมื่อกี้นี้คือ นอกจากลมหายใจ นอกจากพองยุบ มีอาการเต้นของหัวใจ
บางทีนั่ง ๆ อยู่...สงบ พอจิตเริ่มนิ่ง อาการเต้นของหัวใจเริ่มแรง แรง ๆ หรือรัวขึ้นมา บางทีกระตุก เร็ว ๆ เหมือนกับหัวใจเต้นผิดจังหวะ แบบนี้ก็มี แรงเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากตัวก็มี อันนี้เกิดจาก... ตรงนี้เป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องตกใจนะ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปตกใจ ตั้งสติ ดี ๆ แล้วเข้าไปรู้ว่าอาการเต้นของหัวใจ เขาเปลี่ยนอย่างไร จากแรง ๆ เขาค่อย ๆ เบาลงช้าลง หรือเป็น อย่างไร หายไปแบบไหน สังเกตแบบเดียวกัน
อีกอย่างหนึ่ง ที่พูดไว้เมื่อกี้นี้ก็คือว่า ความเย็น ความร้อน อาการเคร่งตึง ความหนัก ความเบา ที่ เกิดขึ้นตามร่างกาย ตรงนี้ เป็นอาการของกาย แต่เป็นลักษณะของธาตุ เขาเรียกธาตุ ๔ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง หนัก เบา ธาตุ ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ ธาตุไฟคือร้อน เย็น อาการเคร่งตึงเป็นธาตุลม ความหนกั กเ็ ปน็ ธาตดุ นิ เปน็ ลกั ษณะทเี่ ขาจะเกดิ ขนึ้ นนั่ คอื ธรรมชาตทิ เี่ กดิ หนา้ ทขี่ องผปู้ ฏบิ ตั ิ ไมว่ า่ จะเปน็ อาการไหนเกิดขึ้นมา กาหนดรู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
การที่เราใส่ใจตรงนี้ การกาหนดรู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของทุก ๆ อารมณ์ เป็นการศึกษา ธรรมชาตขิ องรปู นามขนั ธ์ ๕ เปน็ การศกึ ษาธรรมชาตขิ องธาตุ ไมเ่ ขา้ ไปปรงุ แตง่ ไมเ่ ขา้ ไปบงั คบั แตเ่ ราเขา้ ไป ศึกษาพิจารณาว่า ทาไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วที่สาคัญก็คือว่า การที่กาหนดรู้ถึงความเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของสภาวธรรมนั้น ๆ มีประโยชน์อย่างไร จะได้ผลอะไร จะดี อย่างไร เราจะได้ประโยชน์อะไร จากการกาหนดรู้ตรงนั้น
สิ่งเหล่านี้ผลที่เกิดขึ้นกับจิตเราโดยตรง ไม่ต้องไปหาว่า ประโยชน์เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรากาหนดรู้ชัด ในสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ ผลที่ตามมาคืออะไร คือจิตใจของเรา ปัญญา ของเรา ปัญญาที่ได้เห็นความจริงตรงนี้ จะเป็นอย่างไร อย่างที่บอกแล้วว่า ปัญญาที่รู้ว่า ธรรมชาติของรูป นามเป็นอย่างไร เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้น จิตก็จะละ จะคลายจากอุปาทาน จากความหลงผิดที่จะเข้าไปยึดติด ว่า รูปเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา สัญญาเป็นของเรา สังขารเป็นของเรา วิญญาณเป็นของเรานี่นะ ก็จะ ถูกละไป จิตก็จะมีความสงบ หรือคลายอุปาทาน มีความอิสระเกิดขึ้น ตรงนั้นแหละ ผลที่จะเกิดขึ้นจาก การปฏิบัติ ที่เกิดขึ้นโดยตรง


































































































   67   68   69   70   71