Page 73 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 73

933
ใจต้องการ นั่นแหละจึงเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น เหตุที่ทาให้เราเป็นทุกข์ อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็น อย่างนี้ เขาจึงเรียกว่าอยากมากไป เขาไม่เป็นอย่างที่ต้องการก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าอยากแล้ว เป็นไปอย่างตาม ความอยาก ก็จะเป็นความสุข เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทาให้เราทุกข์ คือกระทบมีผัสสะมีเวทนาขึ้นมา พอไม่เป็น อย่างที่ต้องการ จิตใจก็ทุกข์ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราต้องดับคืออะไร ที่ดับทุกข์น่ีนะ เราจะดับ...ป้องกันทุกข์ คือดับความอยาก แตถ่ า้ ทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ แลว้ ตอ้ งดบั ทกุ ข์ ถา้ ทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ เมอื่ ไหรก่ ใ็ หด้ บั ทกุ ขเ์ มอื่ นนั้ ไมต่ อ้ งหว่ งความอยากหรอก ผ่านไปแล้วเลยขั้นตอนแล้ว ทุกข์แล้วต้องดับทุกข์ ความทุกข์คือความไม่สบายใจ ขุ่นมัว อึดอัด ขัดเคือง ทาอย่างไรถึงจะดับทุกข์นั้นได้ คนเราพอมีทุกข์เพราะอะไร มีทุกข์เพราะ บอกว่าเพราะความอยาก จริง ๆ แล้ว อยากน่ะก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ทุกข์เพราะมีเรา มีผู้รับ มีผู้เป็น มีเจ้าของ ทุกข์เพราะอวิชชา จึงเข้าไปยึดว่า นั่นเป็นเรา รูปนี้เป็นเรา เป็นของเราต่างหากจึงทาให้เกิดความทุกข์ ทาให้ทุกข์เกิดขึ้นมา
เพราะฉะนนั้ การกา หนดรตู้ รงนี้ หนา้ ทขี่ องเราคอื อยา่ งไร เวลาทกุ ขใ์ จไมส่ บายใจเปน็ อยา่ งไร จติ ใจ ผ่องใส เบิกบาน หรือว่ามันขุ่น ๆ หนัก ๆ แน่น ๆ อึดอัดขึ้นมา นี่คือลักษณะของความทุกข์ ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เรื่องราว แต่เป็นอาการของเวทนา อึดอัด...แน่น อึดอัดขัดเคือง ขุ่น ๆ ถามว่าเราดับอย่างไร วิธีดับก็ คือ สลายเขาออกไป ขยายให้กว้าง ๆ แล้วเขาก็ดับเอง ขยายจิตให้กว้าง ๆ เขาก็ดับเอง ความทุกข์ก็ตั้งไม่ นานหรอก ความทกุ ขก์ ไ็ มเ่ ทยี่ งนะ นคี่ อื เวทนาทางจติ ทเี่ กดิ ขนึ้ ใหพ้ รอ้ มทจี่ ะดบั ดบั ความทกุ ขท์ เี่ กดิ ขนึ้ แลว้
เราตอ้ งรวู้ า่ เราบอกวา่ เพราะเหตนุ นั้ ทา ใหเ้ ราทกุ ข์ เพราะเรอื่ งนนั้ ทา ใหเ้ ราทกุ ข์ เพราะคนนนั้ ทา ใหเ้ รา ทุกข์ จริง ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า เพราะคนนั้น เพราะเรื่องนั้น หรือเพราะอะไร เป็นเพราะปัญญาของ เราไปไม่ถึง เขาเรียกเพราะเราไม่รู้ จึงเข้าไปยึดว่าเป็นตัวเราของเรา ก็เลยทาให้ทุกข์เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้น การที่เราปฏิบัติธรรม ที่บอกว่าถ้าเรามีเป้าหมายเพื่อที่จะดับทุกข์ พอมีความทุกข์เกิดขึ้นแบบนี้ มีสติเข้าไป กาหนดรู้ถึงความทุกข์ ความเป็นกลุ่มก้อนนั้น แล้วทาไมถึงทุกข์ เพราะมีเรา มีเรา...เราก็ดับความรู้สึกว่า เป็นเรา แล้วก็คลายออกไป ขยายออกไป เขาก็คลาย เขาก็ดับทุกข์ อันนี้จุดหนึ่ง นี่คือเวทนาทางจิต
เวทนาทางจิตตรงนี้ เขาเรียกว่า ถ้าเราดูจิตบ่อย ๆ เราจะเห็นว่า จิตเดี๋ยวมีความทุกข์ เดี๋ยวมีสุข เดยี๋ วมคี วามเบา เดยี๋ วมคี วามสงบ พอเราสงั เกตอยา่ งนกี้ ลายเปน็ ดจู ติ ในจติ เปน็ การดจู ติ ในจติ นะ เปน็ การ ดูจิตในจิตว่า จิตเราเป็นแบบนี้ ๆ เพราะฉะนั้น การที่เราสังเกตจิตเราบ่อย ๆ เราจะเห็นว่าตอนนี้ทุกข์หรือ ไม่ทุกข์ ตอนนี้เป็นทุกข์หรือไม่สุข ก็จะเห็นชัด นี่นะดูเวทนา แล้วก็ดูจิตในจิต รู้ธรรมในธรรม การดูจิตใน จิตก็เป็นระดับ เป็นขั้นตอนของเขาอย่างหนึ่ง
หนึ่งก็คืออีกอย่างหนึ่ง เวลาเรานั่งกรรมฐานหรือเราปฏิบัติธรรม เราจะมีความรู้สึกว่าจิตไม่สงบ เพราะอะไร เพราะมีความคิด มีความคิดเกิดขึ้นก็เลยว่า ความคิดเข้ามารบกวนจิตใจ ทาให้ไม่มีความสงบ ไมส่ งบ จงึ รสู้ กึ วา่ เปน็ อปุ สรรคในการปฏบิ ตั ิ จรงิ ๆ ความคดิ เปน็ ธรรมะอยา่ งหนงึ่ เปน็ อารมณท์ เี่ กดิ กบั ใจ เพราะฉะนนั้ การดจู ติ ในจติ บางทเี ราจงึ รวู้ า่ เราขณะนกี้ า ลงั คดิ อะไรอยา่ งหนงึ่ คดิ ดไี มด่ ี คดิ แลว้ มปี ระโยชน์ ไม่มีประโยชน์ อันนั้นอย่างหนึ่ง


































































































   71   72   73   74   75