Page 84 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 84

944
ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าใจรู้ก็เกิดดับอยู่เรื่อย ๆ แต่ถ้าไม่เห็น ก็ยังเข้าไปยึดเกาะอยู่กับอารมณ์นั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่ง เหล่านั้นก็ผ่านไปแล้ว วันผ่านไป เดือนผ่านไป แต่ละชั่วโมงก็ผ่านไป ผ่านไป... แต่ทาไม(รสชาติ)ยังไม่หมด ไปกับอารมณ์อันนั้น ?
นั่นสาเหตุเพราะว่า ถ้าเราไม่มีปัญญาเข้าไปเห็นถึงกฎไตรลักษณ์ตามที่พระองค์ทรงตรัสเอาไว้ คือ การเกดิ ขนึ้ -ตงั้ อย-ู่ ดบั ไปของรปู นามทเี่ ปน็ ปจั จบุ นั ขณะจรงิ ๆ แลว้ ยากทเี่ ราจะตดั เยอื่ ใยตดั ความหลงทถี่ กู ครอบงา ความหลงว่ามีเรา เป็นของเรา เป็นของเที่ยง และพอมีทิฏฐิมีความเชื่อแบบนั้นอยู่ จึงอยู่กับของ เก่า ไม่เห็นอาการเกิดดับ ไม่ได้ชัดเจนถึงการเกิด-การดับไป เมื่อไม่พิจารณาเห็นอาการพระไตรลักษณ์ตาม ความเป็นจริงแบบนี้นี่แหละ แม้เวลาจะผ่านไปกี่วันกี่เดือนก็ตาม ความรู้สึกหรือความเชื่ออันน้ียังติดเป็น หนึ่งเดียวว่าเป็นเราตลอดเวลา เป็นคนเดิมตลอดเวลา ตั้งแต่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
เราจะรู้สึกเหมือนเป็นคนเดิมตลอดเวลา อะไรที่เป็นคนเดิมตลอดเวลา ? รูปนี้ คือร่างกายนี้เป็น เราตลอดเวลาอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นคนเดิม ทั้ง ๆ ที่รูปกายนี้ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ หน้าตาบางทีก็เปลี่ยนไป หลาย ๆ อย่างที่ต่างจากตอนที่เราเป็นเด็ก ไม่เหมือนเดิม อันนี้อย่างหนึ่ง และที่ สาคัญก็คือว่าตัวจิตเอง ความคิดของเรา บางครั้งก็เปลี่ยนไปต่างจากเดิม แต่ในการพิจารณาสภาวธรรม เราจะเปลี่ยนอย่างไรให้เราได้เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงชัดเจน ? ก็ด้วยการกาหนดรู้อาการพระไตรลักษณ์ที่เป็น ปัจจุบันขณะนี้แหละ ชีวิตขณะเล็ก รูปนามขณะเล็กที่เป็นปัจจุบันที่เกิดขึ้น
ถา้ เราสงั เกต และมสี ตริ ชู้ ดั กบั อารมณป์ จั จบุ นั รชู้ ดั ในอาการเกดิ ดบั ของรปู นามทปี่ รากฏขนึ้ มา เหน็ อาการเกิดดับที่หมดไปแต่ละขณะ ดับแต่ละครั้ง แล้วเห็นจิตดวงใหม่เกิดขึ้นมา (เมื่อ)เห็นถึงความเป็นจิต ดวงใหม่ อารมณ์ใหม่ ความรู้สึกใหม่ขึ้นมาแต่ละครั้ง จะเห็นว่าจิตดวงนั้นต่างไป คือมีความใสกว่าเดิม มี ความสงบกวา่ เดมิ มคี วามตงั้ มนั่ มากกวา่ เดมิ ... แลว้ คนเดมิ อยตู่ รงไหน ? เพราะฉะนนั้ ธรรมะอนั นนี้ แี่ หละ ทพี่ ระองคท์ รงตรสั ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั ทิ งั้ หลายใหส้ าวกทงั้ หลายไดน้ อ้ มเขา้ มาใสต่ วั มาเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั เิ พอื่ ความดับทุกข์ เพื่อการหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง
สภาวะเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นมาเราพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองอย่างไร ? เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรากาหนดรู้เห็นว่าแต่ละอาการที่เกิดขึ้นมา(แล้วดับไป) อย่างเช่น เมื่อไหร่ที่เห็นความคิดเกิดขึ้นมาแล้ว ดบั ไป จติ จะเบาขนึ้ วา่ งขนึ้ สวา่ งขนึ้ ในแตล่ ะขณะ แตล่ ะขณะ... ตรงนแี้ หละเปน็ ผลทเี่ กดิ ขนึ้ โดยตรง แตถ่ า้ ไมเ่ หน็ อาการดบั ลองสงั เกตดไู ดเ้ ลยวา่ เมอื่ ไหรก่ ต็ ามทมี่ คี วามคดิ เกดิ ขนึ้ มาแลว้ เราคลอ้ ยตาม เพลดิ เพลนิ กบั ความคดิ โดยไมเ่ หน็ วา่ ความคดิ นนั้ ดบั อยา่ งไร หยดุ อยา่ งไร หายไปแบบไหน แลว้ กจ็ ะเพลนิ ๆ ๆ คลอ้ ย ตาม บางทีก็จะไม่เห็นว่าสภาพจิตเปลี่ยนไหม เปลี่ยนอย่างไร...
ก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์นั้นที่เป็นตัวปรุงแต่งจิต ถ้าเป็นความคิดที่ดี ก็เพลิดเพลินไป ถ้าเป็นความ คิดที่ไม่ดี มีการหมกมุ่นคลุกคลีกับอารมณ์นั้นมาก จิตก็ขุ่นมัว เศร้าหมอง เป็นทุกข์ เกิดความสลดหดหู่ หอ่ เหยี่ ว ไมเ่ ปน็ สขุ ขนึ้ มา เพราะอะไร ? เพราะคดิ วา่ ความคดิ นนั้ เปน็ เราเปน็ ของเรานนั่ เอง และเหน็ วา่ ความ คิดนั้นเป็นอยู่ตลอดเวลา มีแต่เกิดขึ้น ไม่มีการดับไป อันที่จริงแล้วอะไรก็ตามที่มีการเกิดขึ้นย่อมมีการ


































































































   82   83   84   85   86