Page 99 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 99

959
เ พ ร า ะ ฉ ะ น นั ้ โ อ ก า ส น ี ้ เ ร า ม เี ว ล า ม า เ จ ร ญิ ก ร ร ม ฐ า น เ ข า้ ค อ ร ส์ ป ฏ บิ ตั ธิ ร ร ม ใ น ช ว่ ง ส ง่ ท า้ ย ป เี ก า่ ต อ้ น ร บั ปีใหม่ ขอให้เราตั้งใจกัน บางทีไม่แน่...อาจจะทาให้เรา การปฏิบัติของเราก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป อาจจะได้ สมหวงั ในธรรมะทเี่ ราปรารถนา เพราะธรรมะทเี่ กดิ ขนึ้ สภาวธรรมนนั้ ธรรมะเปน็ เรอื่ งของอกาลโิ ก ไมจ่ า กดั กาล ใคร ๆ ก็สามารถปฏิบัติและกาหนดรู้ได้ เพราะอาการพระไตรลักษณ์ อาการเกิดดับของรูปนามนั้น ทาหน้าที่ของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยลาเอียง ไม่เคยขี้เกียจ ไม่เกี่ยงเวลา ย่อมทาหน้าที่ของตนอยู่เสมอ อาการของรูปของนาม ทาหน้าที่ของตนอยู่ตรงนั้น
เหลือแต่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น ที่จะให้ความสาคัญและใสใจ ในเรื่องสัจธรรมธรรมะ ธรรมะคาสอนของ พระพุทธเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง มากน้อยเพียงไหน ซึ่งไม่มีอะไร จริง ๆ แล้ว ไม่ได้อยู่เกินความสามารถของ ผู้ปฏิบัติ เพราะเป็นเรื่องปกติ ของรูปนามกายใจของผู้ปฏิบัติเอง ของเราเองนี่แหละ เป็นรูปนามขันธ์ห้า อันนี้ เป็นอารมณ์ที่เข้ามากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอันนี้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ ซึ่ง เราสามารถเอามาเป็นอารมณก์รรมฐานได้เพยีงแตม่เีจตนาเพยีงแตม่เีจตนาและพอใจทจี่ะเขา้ไปกาหนดรู้ ถึงสัจธรรม ถึงกฎไตรลักษณ์เท่านั้นเอง
มีผัสสะ มีอารมณ์ไหนขึ้นมา ก็กาหนดรู้อาการนั้นไป อีกอย่างหนึ่ง อีกจุดหนึ่งเป็นสิ่งสาคัญ ก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คือการที่เรากาหนดรู้อารมณ์ปัจจุบัน ที่เป็นปัจจุบันขณะ ที่กาลังปรากฏ เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่กาลังเห็นชัดปรากฏชัดอยู่นี่แหละ ว่ามีการเกิดดับอย่างไร อารมณ์ ที่ปรากฎเกิดขึ้นมาเฉพาะหน้า ที่ปรากฏชัดเจนที่เป็นปัจจุบันขณะ อย่างที่บอกแล้วว่า เริ่มต้นเรากาหนด อาการของลมหายใจ ถา้ ขณะนนั้ อาการของลมหายใจมคี วามชดั เจนอยู่ นนั่ คอื ขณะนนั้ เปน็ อารมณป์ จั จบุ นั ก็คือลมหายใจ หรือว่าอาการของลมหายใจหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นพองยุบ อาการพองยุบที่ท้องปรากฏชัด ขึ้นมา อาการอารมณ์ปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปเป็นอาการพองยุบแล้ว
แต่เมื่อมีสติกาหนดรู้ไปสักระยะ อาการพองยุบบางไป เบาไป หายไป เปลี่ยนเป็นความคิดเกิดขึ้น มา ความคดิ กจ็ ะเปน็ อารมณป์ จั จบุ นั ในลา ดบั ถดั ไป เพราะฉะนนั้ การกา หนดรอู้ ารมณป์ จั จบุ นั จงึ ตอ้ งรชู้ ดั แบบนี้ว่า ถ้าความคิด ถ้าลมหายใจหายไป อาการพองยุบชัดขึ้นมา ก็ต้องตามกาหนดรู้ อาการเกิดดับของ พองยุบต่อไป อาการพองยุบเริ่มเบาบาง หายไป ความคิดเกิดขึ้นมา ก็กาหนดรู้อาการเกิดดับของความคิด ต่อไป นั่นหมายถึง เรามีสติรู้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง
แต่ถ้าเราคิดว่า เรากาหนดรู้อาการของลมหายใจเป็นอารมณ์หลัก แล้วคิดว่าลมหายใจเป็นอารมณ์ ปจั จบุ นั เมอื่ ลมหายใจหมดไป หายไป วา่ งไป แลว้ มพี องยบุ เกดิ ขนึ้ มา ไมส่ นใจอาการพองยบุ รอทจี่ ะกา หนด รอู้ าการของลมหายใจเขา้ ออก ลองสงั เกตดวู า่ สตเิ ราจะอยกู่ บั ปจั จบุ นั กบั อารมณป์ จั จบุ นั หรอื เปลา่ หรอื รอ อนาคต กลายเป็นว่า เหมือนกับรออารมณ์ในอนาคต ว่าเมื่อไหร่ลมหายใจถึงจะเกิดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่มีอาการ พองยุบ ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบันอยู่
ตรงนี้หมายถึงว่า เราไม่เข้าใจคาว่า การกาหนดรู้อาการทางกายอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่ากายานุปัสสนา- สติปัฏฐาน หรือว่าไม่เข้าใจคาว่า อารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนไปแล้ว กลับเป็นความ


































































































   97   98   99   100   101