Page 137 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 137

113
สังเกต ไม่ใช่รู้แต่ว่ามันว่าง ๆ ว่าง ๆ แล้วก็ทาอะไรไม่ได้ ตรงที่ทาอะไรไม่ได้จริง ๆ ก็มีนะ สภาวะที่เรารู้สึกว่า กาหนดอะไรไม่
ได้เลยก็มี แต่ต้องเกิดจากการที่เราพยายามกาหนดแล้ว กาหนดไม่ได้ ไม่ใช่ ว่าเราไม่ได้มีเจตนา ไม่พยายามกาหนดเลย อันนั้นแสดงว่าเราไม่ได้ทาอะไร เลย อย่างที่เคยพูดไปแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง การปฏิบัติของเรา เมื่อสภาพจิตดีขึ้น เห็นอาการเกิด ดับมากขึ้น ที่ถามว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตรงนี้มีเจตนา อะไร ? การปฏิบัติธรรมนี้มีเจตนาขัดเกลาตัวเราเองเป็นหลัก “ขัดเกลา ตัวเราเองเป็นหลัก” เพราะอะไร ? อะไรที่เกาะติดอยู่กับตัวเรามาก ๆ นา ความยุ่งยากมาให้ เพราะฉะนั้น การขัดเกลาจิตใจของเราให้เบาบาง หรือให้ ความมีตัวตนเราน้อยลง นั่นคือเป้าหมายหลัก
เพราะฉะนั้น การขัดเกลาจิตตัวเอง สังเกตดูว่า เวลาสภาพจิตเรา ดีขึ้น บางครั้งเราจะรู้สึกว่าสภาพจิตเราโล่ง ว่าง เบา ขัดเกลาจิตได้ แต่ อย่างหนึ่ง บางครั้งก็มองข้ามไป กายก็ต้องสารวม “จิตผ่องใส กายก็ต้อง สารวม” จิตก็ต้องสารวม ไม่ใช่แค่สารวมความคิด สารวมกาย สารวมวาจา สารวมใจ นอกจากจิตที่ว่างแล้ว ต้องสารวมความคิด ถ้าเราไม่ระวังความ คิด เราก็จะเพลินไปกับอารมณ์ที่เข้ามากระทบ ปรุงแต่งไปเรื่อย.. เรื่อย.. ลืมดู ลืมพิจารณาความคิดที่เข้ามาเป็นอย่างไร บางครั้งก็คิดเองเออเองบ้าง เราสารวมระวังตรงนี้
ที่บอกว่าเราสารวมระวัง แล้วมาพิจารณาจิตของเราให้มาก รู้เท่าทัน ความคิดของเราให้มาก ว่าความคิดนั้นเป็นไปเพื่ออะไร ? เบียดเบียนตัวเอง ? เบียดเบียนผู้อื่น ? เบียดเบียนแล้วทาให้เราทุกข์มากขึ้นหรือเปล่า ? เพื่อ ประโยชน์อะไร ? อันนี้ต้องพิจารณา ถ้าเรามองข้ามตรงนี้ก็ไม่ดี
ธรรมะที่เกิดขึ้นจึงบอกว่า ความรู้ด้วยเหตุด้วยผล ต้องพิจารณา “สภาพจิต” “เจตนา” เป็นอย่างไร บางครั้งเขาเรียก “ความคิดไม่ยาว” ความ


































































































   135   136   137   138   139