Page 162 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 162

138
อยู่ และดับไป อยู่เสมอ
เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา ถ้าอยากขัดเกลาจิตใจ ไม่ต้องทาอะไร
มาก แค่มี “ฉันทะ” หรือมี “ความพอใจ” ที่จะกาหนดรู้ถึงอาการเกิดดับของ รูปนามอยู่เนือง ๆ อยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก ก็ดูอาการเกิดดับของลมหายใจไป ในชีวิตประจาวัน มีอะไรปรากฏขึ้นมา ในอิริยาบถย่อย ก็ให้สังเกตว่าเขาเกิดแล้วดับในลักษณะอย่างไร เวลา อารมณ์นั้นดับไปแต่ละขณะ จิตเราดับด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นจิตดับไป จิตดวง ใหม่เกิดขึ้นมาต่างจากเดิมอย่างไร นี่คือวิธีการขัดเกลาจิตของเรา
เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราได้เห็นการเกิดและดับของรูปนาม ของ กายของจิต แต่ละขณะ เป็นการขัดเกลาจิตใจไปในตัว ยิ่งเห็นอาการมันดับ เร็วเท่าไหร่ การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ก็จะน้อยลง สั้นลง ยิ่งอารมณ์นั้นตั้ง อยู่สั้นเท่าไหร่ การยึดมั่นก็น้อยลง การปรุงแต่งก็จะน้อยลง สั้นลงไปด้วย แต่ถ้าเมื่อไหร่อารมณ์เหล่านั้นตั้งอยู่นาน การปรุงแต่งก็จะเป็นไปได้มาก ก็ จะทาให้การยึดมั่นนั้นเหนียวแน่นได้ยิ่งขึ้นเช่นกัน
เพราะฉะนั้น การที่เราจะขัดเกลา ชาระจิตใจของตนให้ผ่องใส ให้ ขาวรอบ จึงต้องอาศัยการพิจารณา รู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้แต่ จิตที่ว่างแล้ว ที่เรารู้สึกว่าจิตว่าง จิตสงบแล้ว ก็ต้องเข้าไปรู้จิตที่ว่างที่สงบ นั้นอีกว่า เขาเปลี่ยนอย่างไร ? เกิดขึ้นแล้วดับอย่างไร ? เข้าไปในความสงบ แล้วเปลี่ยนอย่างไร ? เข้าไปในจิตที่ว่าง จิตที่ว่างนั้นเปลี่ยนอย่างไร ? ดับ อย่างไร ? จิตดวงใหม่เกิดขึ้นว่างกว่าเดิม เข้าไป.. จิตที่ว่างนั้นดับอย่างไร อีก ? เพราะธรรมชาติของจิตมีการเกิดดับอยู่เนือง ๆ มีการเกิดดับสืบต่อ กันไม่ขาดสาย
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรามีเจตนาที่จะรู้ถึงอาการเกิดดับของจิต ตรงนี้เป็น สิ่งสาคัญมาก ๆ ยิ่งเห็นการเกิดดับของเขามากเท่าไหร่ จิตของเราก็ยิ่งผ่องใส มากขึ้น บริสุทธิ์หมดจดมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็น


































































































   160   161   162   163   164