Page 182 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 182

158
แม้แต่รูปนามขันธ์ห้าตรงนี้ก็เหมือนกัน ร่างกายของเราก็มีการเกิด ดับเปลี่ยนแปลงอยู่เนือง ๆ ไม่ได้บอกว่าเป็นของเราหรือของใคร ถามว่า เป็นรูปใหม่หรือรูปเก่า ? เขาเปลี่ยนใหม่ไปเรื่อย ๆ มีการเกิดดับอยู่เนือง ๆ ตลอดเวลา แต่ว่าถ้าไม่มีปัญญาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะสาคัญผิดคิดว่าเป็นของเราเป็นตัวเราอยู่เสมอ เมื่อเข้าใจว่าเป็น ตัวเราของเราแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ? สิ่งที่เกิดขึ้นมาก็คือ อุปาทาน อุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นว่าเป็นของเที่ยง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยากให้ เที่ยงอยู่อย่างนั้นตลอดไป
เมื่ออยากให้เที่ยง แต่สภาพของธรรมชาติแสดงและประกาศตัว เขาเองว่าเป็นของไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นไปอย่าง ปรารถนา ก็นามาซึ่งความทุกข์ ความขุ่นมัว ความเศร้าหมองของจิตใจ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ เพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเป็น ของเรา ที่จริงแล้วรูปนามอันน้ีก็เกิดขึ้นจากกรรม เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย จากวิบากในอดีต และดารงอยู่ด้วยกรรมในปัจจุบัน เขาอาศัยเหตุปัจจัยซึ่ง กันและกัน กาลังเป็นไปอยู่เนืองนิจ
ถ้าพิจารณารู้ถึงความเป็นจริงในสิ่งที่กาลังปรากฏอยู่ สภาวธรรมรูป นามอันนี้ที่กาลังเป็นไป ก็จะทาให้จิตใจของเราเกิดการคลายจากอุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปเรื่อง ของกาย ยึดมั่นในร่างกายในรูปนี้ ว่าเป็นตัวเราของเรา ว่าเป็นของเที่ยง ยึดมั่นถือมั่นในเวทนา ความปวด ความเมื่อย ความสุข ความทุกข์ ว่าเป็น ของเรา ยึดมั่นถือมั่นในความคิด ในสัญญาหรือสังขารการปรุงแต่งต่าง ๆ ว่า เป็นของเรา ยึดมั่นถือมั่นในสัญญาความจา ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นของเที่ยง ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ตัววิญญาณตัวใจรู้เอง ก็คิดว่าเป็นเรารู้ ยึดว่าเป็นของเรา ตรงที่คิดว่าเป็นเรารู้ นี่คือความเข้าใจผิด
ความเข้าใจผิดหรือเห็นผิด ที่เรียกว่า “มิจฉาทิฏฐิ” คิดว่าเป็นของ


































































































   180   181   182   183   184