Page 97 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 97
73
กินมาก ๆ กินแล้วก็รู้สึกอึดอัด ใช่ไหม ? ทั้ง ๆ ที่ไม่หิวหรอก แต่ “อยาก” ร่างกายมันไม่ได้หิว แสดงว่าร่างกายมันไม่ได้อยาก แต่ใจอยาก
เพราะฉะนั้น เราพิจารณารู้ถึงความไม่มีตัวตน แล้วจะรู้ว่า “อันไหน เป็นสิ่งจาเป็นต่อร่างกาย” “อันไหนเป็นสิ่งจาเป็นต่อจิตใจของเรา” “อันไหน นามาซี่งความทุกข์” “อันไหนนามาซึ่งความสุข” “อันไหนนามาซึ่งความสงบ” ถ้าเราพิจารณาด้วยสติ ด้วยปัญญาอย่างนี้ เราก็จะเลือกได้ถูกว่า ควรจะทา อะไร ไม่ควรทาอะไร ดังนั้น เราควรจะพิจารณาให้ดี
เราปฏิบัติธรรมมี ๒ ส่วน หนึ่ง.. “การเจาะสภาวะ” การกาหนดอาการ เกิดดับอย่างต่อเนื่องเพื่อมรรคผลนิพพาน อีกส่วนหนึ่ง.. ที่เราพิจารณารู้ถึง “ความไม่มีตัวตน” ของรูปนามอันนี้ แล้วสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา รอบ ๆ ตัวเรา อันไหนจาเป็น อันไหนไม่จาเป็น หรือควรปฏิบัติตัวอย่างไร ก็ใช้เหตุใช้ผลพิจารณา เขาเรียกว่าภาวนามยปัญญาส่วนหนึ่ง จินตมย- ปญั ญาสว่ นหนงึ่ สตุ มยปญั ญาอกี สว่ นหนงึ่ ตอ้ งมาประกอบกนั ตอ้ งใชท้ งั้ หมด เพื่อให้เกิดปัญญามากขึ้น
“การฟัง” ก็เหมือนกัน ฟังให้เป็น เปิดใจให้กว้าง เราเป็นผู้ที่เจริญสติ เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เปิดใจให้กว้าง พร้อมที่จะฟัง พร้อมที่จะเข้าใจ อันไหน ควรฟัง อันไหนควรปิด ถ้าอยากรู้เยอะ ๆ ให้รู้กว้าง ถ้าไม่อยากรับรู้อะไร ก็ให้รู้แคบ ๆ ได้ทั้ง ๒ อย่างนะ ไม่ใช่ว่าต้องรู้กว้างอย่างเดียว
อย่างเราเจาะสภาวะ อย่ารู้กว้าง ให้รู้แคบ รู้เฉพาะอารมณ์เดียว ขณะ ที่เจาะสภาวะ ให้เลือกอารมณ์เดียว รู้อารมณ์เดียว แต่ในชีวิตประจาวัน ถ้า อยากเข้าใจอะไรมาก ก็รู้กว้าง ท่านแม่ครูเคยสอน ถ้าอยากฟังแล้วรู้เรื่องด้วย ให้ใช้วิธีรู้กว้าง อย่ารู้แคบ อย่าเจาะอารมณ์ เจาะสภาวะอย่างเดียว ถ้าเจาะ สภาวะอย่างเดียว จะไม่รู้อะไรเลย รู้แต่อาการเกิดดับอย่างเดียว
เปิดใจให้กว้าง พร้อมที่จะรับรู้ พร้อมที่จะเข้าใจ นั่นคือสิ่งสาคัญ พร้อมที่จะเข้าใจในธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และธรรมชาติของรูปนาม