Page 308 - สมโภชพระอารามหลวง ครบ 100 ปี วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร สุพรรณบุรี.
P. 308
สมโภชพระอารามหลวง ครบ ๑๐๐ ปี วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร • 225
คว�มสนุกสน�น เสียงเทิ่งบ่องๆๆๆ คนไทยเห็นแล้วชอบใจ
นำ�ม�ประยุกต์เป็นกลองย�วไทย แต่ยังมีกลิ่นไอของพม่�คือใน
ยุคแรกก�รแต่งก�ย ของคณะเถิดเทิงกลองย�วยังนุ่งผ้�โสร่ง
และมีผ้�โพกหัว มีก�รแสดงพม่�รำ�กลองย�ว พม่�รำ�ขว�น”
สำ�หรับประวัติหัวโตที่รำ�คู่กับกลองย�วนั้น สันนิษฐ�นว่�
ม�จ�กเสียงกลองย�วมันเร้�ใจ คนฟังอย�กร่วมด้วยเลยคว้�
สิ่งใกล้ตัว คือ “สุ่มไก่” (ในสมัยโบร�ณคนไทยเลี้ยงไก่ไว้แทบ
ทุกบ้�น) หรืออื่นๆ ที่ส�มหัวได้ม�สวมหัวคลุมผ้�เจ�ะลูกต�ไว้
ให้มองเห็น น�นๆ ไปก็ใช้ไม้ส�นเป็นรูปหน้�ต�ต่�งๆ ขึ้นม�
เอ�กระด�ษแข็งเศษผ้�ปะเข้�ไป จนน�นเข้�เปลี่ยนแปลงเป็น
รูปร่�ง “เป็นหัวโต” อย่�งที่เห็นในปัจจุบัน
หัวโตในยุคก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ มีเพียง ๒ หรือ ๓ หัวเท่�นั้น
ถ้�มีสองหัวจะเป็น หัวโตผู้หญิงกับหัวโตผู้ช�ย วัยหนุ่มส�ว
หน้�ต�ยิ้มแย้มแจ่มใส คงเป็นหัวโตขุนแผน กับหัวโตน�งวันทอง
ผู้หญิงก็ยังเป็นหญิงผมย�วติดต้นคอ (มีคอแค่นั้น) ถ้�มีหัวโต
ส�มหัว ก็จะเพิ่มหัวโตผู้ช�ย ขี้เหร่ หัวล้�นคล้�ย “ขุนช้�ง”
ดูไปให้ขำ�ๆ สนุกสน�น หัวโตหัวที่สี่เพิ่มม�คือ “หัวเด็ก” หรือ หัว
จุก หัวแกะ ยิ้มแฉ่ง หรือกุม�รทอง จึงสรุปได้ว่�หัวโตที่พบเห็น
ในยุคสมัยก่อนนั้นมีทั้งหัวโตสองหัวขุนแผนกับน�งวันทองเป็น
หลัก เพิ่มด้วยหัวโตขุนช้�งและหัวโตกุม�รทองต�มลำ�ดับ