Page 249 - เมืองลับแล(ง)
P. 249

เนื้อความที่ ๒๐


                 แล ๒ หาญตนกล้าก็ยอขันยก ๒ นางบุตตาได้นางสุคันธา บุตตาเจ้าหาญฅำลือ  แลได้นางสรีปิมปา บุต

                 ตาเจ้าหาญคงเสนขึ้นนั่งผาสาดแกววิวาหะ  ฅำร่วมไขว่ขันผีปู่ย่าพระญาเจ้า กาละนั้นตนพระญาช้าง
                                              ้
                 เวียงลับแลงไจยตนเป็นใหญ่ในจุมปูหล้า ก็ทะรงยุรยาตรลีลาสรเดดมายังแหย่งฅำหลังช้างปู้ลวงฅำ ตน
                                                                        ็
                 ทะรงเครื่องสะง้าอะลังกานสุบกะจุมหัวฅำแก้วน้ำแดงก้อแวดกุมดาบเถี่ยนกล้าสรกัญไจยฝักฅำ สุบ
                                                                                        ี
                 เกิบฅำงวงงอนตนทะรงผ้านุ่งตุ้มงามอย่างวิเสกสีขาวปอนปองาม ป๊าดสายสะเทิ้มสร้อยตัวสังวาล แล

                 เครื่องค้าวมาวจ๋าวแขนสุมแหวนธำมะรงวงใส สอดคลานฅำขะจอรหู งามดั่งองค์อินตาเรืองธิราชสะ
                 เด็จบนหลังพญาช้างเอราวัณลอยเฟือนไหวมาในผาสาดฅำเวียงบนชั้นฟ้าตาวะติงสา  นั้นแล



                       เป็นการกล่าวถึงหาญคำลือ มีธิดา (ลูกสาว) ชื่อ นางสุคันธา กับหาญคงเสน มีธิดา (ลูกสาว) ชื่อ นาง
                                                                                                      ิ
               สรีปิมปา (ศรีพิมพา) ได้ถวายธิดาของตนให้เป็นข้าบาทบริจาริกาในพระญาตโลกราช ในขณะนั้นพระญาตโลก
                                                                              ิ
               ราชได้เสด็จมาบนหลังช้างแต่งพระองค์อย่างอลังการ สวม “กะจุม” หรือ ขะโจม ที่แปลว่ายอดพระเศียรเป็น

               เครื่องทองแกมแก้ว ถือ “ดาบเถี่ยนกล้าสรีกัญไจยฝักฅำ” คือ พระแสงอาญาสิทธิ์ประจำพระองค์ สวม “เกิบฅำ
               งวงงอน” คือ ฉลองพระบาทปลายงอน นุ่งผ้าสีขาวประดบด้วยสร้อยสังวาล เครื่องประดับที่แขน สวมพระธำ
                                                               ั
               มะรงค์ (แหวน) ทองคำ ใส่ “คลานฅำขะจอรหู” คือ เครื่องประดับพระกรรณ (หู) เปรียบเทียบว่างามด่งพระ
                                                                                                     ั
               อินทร์พระทับบนช้างเอราวัณที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์
                                                                                  ิ
                                                                                                  ั่
                       การแต่งฉลองพระองค์ของพระญาติโลกราช ในตำนานพระเจ้ายอดคำทพย์ทบอกว่า “งามดงองคอิน
                                                                                      ี่
                                                                                                       ์
               ตาเรืองธิราชสะเด็จบนหลังพญาช้างเอราวัณลอยเฟือนไหวมาในผาสาดฅำเวียงบนชั้นฟ้าตาวะติงสา” เมื่อ
               เปรียบเทียบข้อความใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตอนหนึ่งใน พ.ศ. ๒๐๐๙ (จ.ศ. ๘๒๘) ที่บอกว่า “แล้วจิ่งหื้อ
               เจ้าพระญาติโลกราชะขึ้นทรงสีวิกายฅำลูกชื่อปราบไตรจักร แลทรงเครื่องท้าวราชา สุบสอดมกุฏเภณีดวงชื่อ

               พรหมเทส ทรงเครื่องประหนิมอาภอรณ์งามล้วนถ้วนชู่ประการ ขึ้นสู่ราชมนเทียรในบ้านสรีภูมิเหมือนด่งอิน
                                                                                                      ั
               ทาธิปติราชะขึ้นสู่เวไชยยันตปราสาทวันนั้นแล”    ที่มีความบังเอิญที่ข้อมูลในเอกสารทั้งสองมีความคลายกัน
                                                       42
                                                                                                     ้
               โดยเปรียบพระญาติโลกราชได้เสด็จประทับพระทับในสัปคัปบนหลังช้างพร้อมด้วยและฉลองพระองค์ (แตง
                                                                                                        ่
               กาย) อย่างการเปรียบเทียบพระญาติโลกราชมีรูปโฉมดั่งพระอินทร์

                                                                                                  ี่
                        หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงควรเกิดขึ้นใน ปีมะโรง พ.ศ. ๒๐๐๓ (ปีกดสี จ.ศ. ๘๒๒) ขณะทพระญาต ิ
                                                                                                  ี
               โลกราชยกทัพไปตีเมืองพงในแคว้นสิบสองปันนา ฝ่ายอโยธยาได้ฉวยโอกาสยกทัพข้ามเขาพลึงเข้าตเมืองแพร่
               หมื่นด้งนครแม่ทัพใหญ่ของล้านนาจึงยกทัพออกมาต้านไว้จนกระทั่งพระญาติโลกราชเสดจกลับมานำทัพจาก
                                                                                          ็
               เชียงใหม่เข้าช่วยตีทัพอโยธยาแตกถอยไป พระญาติโลกราชนำพลศึกไล่ตามแต่ไม่ทันจึงเปลี่ยนพระทัยไปต ี
               เมืองเชลียง (เมืองศรีสัชนาลัย) เมื่อทัพหลวงไปถึงพระญาเชลียงกลัวพระราชอำนาจจึงยอมอ่อนน้อมต่อพระ



                       42  ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ เชียงใหม่ ๗๐๐ ปี, ๒๕๓๙, หน้า ๗๗.

                                             การวิเคราะห์วรรณกรรมเมืองลับแล
                                                        หน้า ๙๙
   244   245   246   247   248   249   250   251   252   253   254