Page 322 - เมืองลับแล(ง)
P. 322
่
๑. ฉบับวัดพระหลวง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร ๒. ฉบับวัดลับแลงหลวง (วัดท้องลับแล) อำเภอ
ลับแล จังหวัดอุตรดิตถ ์
้
<๑๖> ครั้นว่าพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานไปแล้วได พระพุทธเจ้าทำนายไว้ พระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานไป
๒๐๐๐ ปี พระญาสรีธัมมโสกกะราช เสด็จมายั้ง แล้วศาสนาได้ ๒๐๐๐ ปี ยังพระญาธัมมาอโสกราชก็
ตั้งอยู่เมืองอุปยา คือ เมืองโต้งย้าง พระองค์ก็ได้ให้ เสด็จมายอบยั้งตั้งทัพอยู่ในเมืองอุปยาคือว่าเมือง
้
ขุดแท่นขึ้นที่ถำโต้งย้าง เลิกได้ ๑๘ วา กว้าง ๑๘ วา ทรงย้าง (ทุ่งยั้ง) หั้นและ พระองค์ก็ขุดแผ่นดินทพระ
ี่
๔ แจ่ง เสมอกัน เจ้าทำนายนั้นเลิกได้ ๑๘ วา กว้าง ๑๘ วา จัตุรัส ๔
แจ่งเสมอกันแล้ว
เป็นการสื่อความว่า ในช่วง พ.ศ. ๒๐๐๐ พระญาธัมมอโสกราช คือ เจ้าพระญาติโลกราช แห่ง
ี่
เชียงใหม่ ยกทัพมาอยู่ที่เมืองทุ่งยั้ง แล้วทรงให้ขุดดินศิลาแลง มีความลึก ๑๘ วา กว้าง ๑๘ วา เป็นรูปสเหลยม
ี่
่
ิ
เป็นมุมที่เสมอกัน ข้อความตรงนี้จึงเป็นการบอกว่า เจ้าพระญาติโลกราชทรงโปรดให้สร้างพระแทนศลาอาสน์
อันเป็นที่ประทับแห่งพระพุทธเจ้าในภัทรกัปตามพุทธทำนาย
จากการเปรียบเทียบเหตุการณทางประวัติศาสตร์ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ที่กล่าวถึง เจาพระญาต ิ
์
้
ั
โลกราช ทรงยกทัพมาถึงเมืองทุ่งยั้ง ๒ ครั้ง คือ พ.ศ. ๑๙๙๔ ที่ยกทัพมาถึงเมืองทุ่งยั้งเป็นฐานทพในคราวแรก
และเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๒ ที่ยกทัพผ่านเมืองแพร่ผ่านเขาพลึงขับไล่กองทัพของสมเดจพระบรมไตรโลกนาถ จากนั้น
็
ุ
จึงไปรบเมืองชะเลียงหรือเมืองสวรรคโลก หากพิจารณาจากบริบทในตำนานพระแท่นศิลาอาสน์ เมืองท่งยั้ง
้
คาดว่าเจ้าพระญาติโลกราชได้เสดจมาสร้างพระแท่นศิลาอาสน์ ใน พ.ศ. ๒๐๐๒ (ปีเถาะ) และพระมหาเถรเจา
็
(กาเลไท) คงได้บูรณะพระมหาธาตุกลางเมืองทุ่งยั้งด้วย
ตราบจน พ.ศ. ๒๒๘๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ เสด็จขึ้นมานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ตามทใน
ี่
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระพนรัตน บอกไว้ว่า
์
“ครั้นลุศักราช ๑๑๐๒ ปีวอก โทศก (พ.ศ. ๒๒๘๓) ถึง ณะ เดือนสิบสอง สมเดจพระ
เจ้าอยู่หัวเสดจ์พระราชดำเนีร เปนขบวนพยุหบาตราใหญ่ทั้งทางบกทางเรือพร้อมจตุรงคโยธา
หาร สารสินทพออเนกนาๆ แลนาวาเปนอันมาก เสดจ์ขึ้นไป ณะ เมืองพิศณุโลก นมัศการพระ
พุทธชินราช ชินศรี แล้วเสดจ์พระราชดำเนีรขึ้นไป ณะ เมืองพนมมาศ ทุ่งยั้ง นมัศการพระ
แท่นสินลาอาษณ์ แลพระมหาธาตุ์ ณ เมืองสวางคบูรี ให้มีงานมหรรศภสมโพธแห่งละสามวัน
แล้วเสดจ์กลับยังพระมหานคร”
มหาสรีธัมมติโลกราชะ : ติโลกราชกับอำนาจเหนือดินแดนเหนือล่าง
หน้า ๓๔