Page 11 - C:\Users\wasan\Desktop\วารสาร PDF\
P. 11
ศาลอทธรณ์คดีช านัญพเศษแผนกคดีเยาวชนและ การพจารณาคดีของศาลเยาวชนและครอบครัวที่ต้องมี
ิ
ุ
ิ
ครอบครัววินิจฉัยว่า ทางพิจารณาไม่ชอบเกี่ยวกับเรื่อง องค์ ผู้พพากษาสมทบร่วมเป็นองค์คณะด้วยนั้น จึงต้องเป็นเรื่อง
ิ
ิ
คณะและพพากษายกค าสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นด าเนิน ที่เกี่ยวข้องกับเด็กหรือเยาวชนที่กระท าความผิดอาญา
ิ
กระบวนพจารณาไต่สวนค าร้องของผู้ร้องแล้วมีค าสั่งใหม่ตามรูปคดี ส าหรับคดีร้องขอคืนของกลางในคดีที่เด็กหรือเยาวชน
โดยให้มีผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบครบองค์คณะ กระท าความผิด เป็นกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฎีกา มาตรา ๓๖ แม้มีผลสืบเนื่องมาจากคดีที่เด็กหรือเยาวชน
กระท าความผิดอาญาก็ตาม แต่ก็เป็นเพยงคดีสาขา
ี
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีบุคคลภายนอกที่ถูกศาลสั่ง
่
วนิจฉัยวา “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า
ิ
ริบทรัพย์สินมาร้องขอคืนของกลาง ผู้ที่มีอานาจยื่น
ิ
การพจารณาพพากษาคดีขอคืนของกลางต้องมี
ิ
ผู้พพากษาสมทบร่วมเป็นองค์คณะด้วยหรือไม่ เห็นว่าแม้ ค าคัดค้านขอคืนของกลางก็คือโจทก์ในคดีดังกล่าว
ิ
จึงเห็นได้ว่าเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับผู้ร้องซึ่งเป็น
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง บุคคลภายนอกโดยจ าเลยหาได้เป็นคู่ความในคดีร้องขอคืน
ของกลางไม่ และปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามค าร้องของผู้ร้อง
จะบัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา ๒๔ ศาลเยาวชนและ มีเพยงว่า ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่เจ้าของซึ่งมิได้รู้เห็น
ี
ิ
ิ
ครอบครัวต้องมีผู้พพากษาไม่น้อยกว่าสองคน และผู้พพากษา
ี
สมทบอกสองคน ซึ่งอย่างน้อยคนหนึ่งต้องเป็นสตรี จึงเป็น เป็นใจด้วยในการกระท าความผิดของเด็กหรือเยาวชน
(จ าเลย) หรือไม่ เท่านั้น ไม่มีปัญหาที่ต้องพจารณาเกี่ยวกับ
ิ
ิ
ิ
องค์คณะพจารณาคดีได้ ...ก็ตาม แต่การพจารณาคดีของศาล
ั
ิ
เยาวชนและครอบครัวตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น ก็เป็นการ การกระท าอนเป็นความผิดหรือต้องพจารณาเกี่ยวกับ
การแก้ไข บ าบัด ฟนฟเด็กหรือเยาวชนแต่อย่างใด
ู
ื้
พจารณาพพากษาคดีที่เกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนตามที่บัญญัติ
ิ
ิ
ิ
ไว้ในมาตรา ๑๐(๑) ถึง (๕) ซึ่งคดีนี้ เดิมเป็นเรื่องที่เด็กหรือ และไม่ได้พจารณาเนื้อหาของคดีที่เกี่ยวกับการกระท า
ิ
ความผิดอาญาของเด็กหรือเยาวชนโดยตรง การพจารณา
เยาวชนกระท าความผิดอาญาตามมาตรา ๑๐(๑) การด าเนิน
ิ
ิ
กระบวนพจารณาที่เกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชน จึงต้องปฏิบัติ พพากษาคดีขอคืนของกลาง จึงมิได้มีส่วนใดที่เกี่ยวข้อง
กับเด็กหรือเยาวชนหรือมีผลกระทบต่อเด็กหรือเยาวชน
ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและ
วิธีพจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ เมื่อ ไม่ว่าในทางใด แต่เป็นการมุ่งถึงตัวทรัพย์สินที่ศาลมีค าสั่ง
ิ
ิ
ริบเป็นส าคัญ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องมีผู้พพากษาสมทบ
ิ
พจารณาคดีที่เด็กหรือเยาวชนกระท าความผิดเสร็จแล้ว ใน
ิ
ิ
หมวด ๑๑ การพพากษาคดีอาญา ก าหนดให้มีการประชุม ร่วมเป็นองค์คณะในการพจารณาคดีตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง
รวมทั้งไม่ต้องสอบถามความเห็นของผู้พพากษาสมทบ
ิ
ปรึกษาคดีเพอมีคาพพากษาตามมาตรา ๑๓๔ ที่บัญญัติว่า ใน
ิ
ื่
ิ
ิ
การประชุมปรึกษาเพอมีค าพพากษาหรือค าสั่ง ให้ผู้พพากษา ก่อนมีค าพพากษาหรือค าสั่งตามมาตรา ๑ ๓ ๔ ด้วย
ิ
ื่
เนื่องจากมิได้เกี่ยวข้องกับเด็กหรือเยาวชนที่กระท า
ที่มีอาวุโสสูงสุดซึ่งเป็นองค์คณะ เป็นประธาน และให้ประธาน
ิ
ของที่ประชุมนั้นถามความเห็นของผู้พพากษาสมทบก่อน ความผิดอาญาและใช้วิธีการส าหรับเด็กหรือเยาวชน เพื่อให้
เหมาะสมแก่พฤติการณ์ในการกระท าความผิดแต่อย่างใด
ิ
ิ
แสดงให้เห็นว่า การพจารณาพพากษาคดีอาญาที่เด็กหรือ
ิ
เยาวชนกระท าความผิดนั้น ต้องมีการประชุมปรึกษาและให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา ๑๓๔ อยู่ในหมวดการพพากษา
คดีอาญา ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ล้วนแต่บัญญัติเกี่ยวกับ
ถามความเห็นของผู้พพากษาสมทบก่อนมีค าพพากษาหรือ
ิ
ิ
ิ
ค าสั่ง แต่บทบาทของผู้พพากษาสมทบในการร่วมนั่งพจารณา การลงโทษหรือก าหนดวิธีการส าหรับเด็กและเยาวชนทั้งสิ้น
ิ
แต่การขอคืนของกลางไม่เกี่ยวกับการลงโทษหรือก าหนด
คดีกับผู้พพากษาเป็นการมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมการกระท า
ิ
ความผิดของเด็กหรือเยาวชนรวมทั้งการแก้ไข บ าบัด ฟนฟ ู วิธีการส าหรับเด็กและเยาวชนแต่อย่างใด ไม่ใช่การท า
ื้
ิ
ค าพพากษาตามหมวด ๑๑ จึงไม่จ าต้องมีผู้พพากษาสมทบ
ิ
เด็กหรือเยาวชนเป็นส าคัญ เพอน าไปสู่การใช้วิธีการให้
ื่
ิ
เหมาะสมแก่เด็กหรือเยาวชนที่กระท าความผิดดังที่บัญญัติไว้ ร่วมเป็นองค์คณะ ดังนั้น คดีเมื่อมีผู้พพากษาศาลชั้นต้น
ิ
ิ
สองคนร่วมกันเป็นองค์คณะพจารณาพพากษาคดีร้องขอ
ในหมวด ๑๒
คืนของกลางโดยไม่มีผู้พพากษาสมทบร่วมเป็นองค์คณะ
ิ
ก็เป็นองค์คณะที่มีอานาจพจารณาพพากษาคดีแพงหรือ
ิ
่
ิ
วารสารศาลเยาวชนฯจังหวัดสุพรรณบุรี กรกฎาคม – กันยายน 2563 9
คดีอาญาทั้งปวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๖

