Page 262 - ธรรมะบรรยาย1525
P. 262

เกิดโรคตรงไหน เครื่องเอ็กซเรย์นั้นก็จะสามารถมองเห็นได้ แต่ตาเปล่ามองไม่เห็น เพราะฉะนั้น ตา

               ธรรมดาจะไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมะที่ว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา  เรา

               พูดได้เราท่องได้ แต่ความเข้าใจของเรายังไม่ถึงขั้น เพราะฉะนั้น จึงได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดความรู้

                                        ็
               ความเข้าใจจริง  ๆ  เมื่อเปนเช่นนี้  จึงเปรียบเทียบเหมือนกับปัญจวัคคีย์ก็จบหมอแล้วก็มีเครื่องมือ
                                                                         ่
               เอกซเรย์  เพื่ออธิบายต่อไปว่านี่ในร่างกายของมนุษย์มันเป็นอยางนี้  นี่กระดูกเป็นอย่างนี้  ตับเป็น
                  ็
                                                            ็
               อย่างนี้ ไตเป็นอย่างนี้ ปอดเป็นอย่างนี้ เครื่องเอกซเรย์บอกว่าอยู่ตรงต าแหน่งนั้น ต าแหน่งนี้ มันก็
               ชี้ให้เห็น  หมอที่นี่เขาก็เห็นด้วยเครื่องเอ็กซเรย์  มันก็เลยเกิดความหายสงสัย  อ้อมันเป็นอย่างนี้เอง

               เพราะฉะนั้น

                     พระพุทธเจ้าจึงเรียกปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่มีดวงตาพิเศษ “ธรรมจักษุ” เกิดขึ้น เมื่อเรียกมาแล้ว

               พระองค์ทรงก็ตรัสว่า “รูปัง ภิกขะเว อนัตตา” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตัวตน “รูปัญจะหิทัง

               ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ” ถ้ารูปเป็นตัวตนของเราแล้ว

                                                                                        ็
               ไซร้ รูปนี้ก็ไม่ควรเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนแปลงและเกิดความอาพาธ ความบาดเจบ หรือการเจ็บป่วย
               ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ตั้งใจว่า “ลัพเภถะ จะ รูเป, เอวัง เม รูปัง โหตุ, เอวัง เม รูปัง มา อะโห

               สีติ) รูปของเราควรจะเป็นอย่างนี้ หมายความว่า ต้องหล่อต้องสวยให้คงที่ตลอด… ว่ากันไปเรื่อย ๆ

               แบบนี้ เพราะรูปนั้นมันเป็นเปลี่ยนแปลงไปตลอด ดูอวัยวะทุกส่วน ไม่ว่าส่วนใด ตับ ไต ไส้ พุงทเรา
                                                                                                       ี่
               มองไม่เห็นนี่  แต่มีกล้องเอ็กซเรย์ส่องเข้าไปก็จะเห็น  เห็นการเปลี่ยนแปลง  เหนการทางานของมัน
                                                                                       ็

               เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการที่เธอเห็นนี่ มันไม่ใช่เห็นด้วยตาธรรมดา มันเห็นด้วยตาใน


               เราชี้ไปนี่คือปอด   นี่คือตับนี่คือไต เธอก็เห็น พอเห็นแล้วเธอก็พิจารณาได้ว่า มันเป็นอนัตตาคือว่า
               มันไม่ใช่ตัวตน  ท าไม  ก็เพราะว่ามันเป็นไปด้วยความอาพาธ  มันไม่คงที่  มันไม่ได้เป็นไปตามความ

                                    ่
               ปรารถนาของเราเลยวาส่วนใดของร่างกาย  ไล่มาตั้งแต่รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณก็เป็น
               ท านองเดียวกัน ไม่ใช่ตัวตน ปัญจวัคคีย์เมื่อได้ฟังก็เกิดความเบื่อหน่าย โอ้เป็นอย่างนี้จริง ๆ ที่นี้ส่วน

                                                                         ู
               ใด ๆ ก็เป็นอนัตตาทั้งหมด ก็เบื่อหน่ายในสังขาร เบื่อหน่ายในรป เบื่อหน่ายในวิญญาณ เบื่อหน่าย
               ในสัญญาแล้วก็เบื่อหน่ายในวิญญาณ  เพราะเห็นทุกส่วนทุกอย่างนี่มันเป็นอนิจจัง  คือไม่เที่ยงแท  ้

               สุดท้ายปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอีกต่อไป จึงได้บอกว่า

               “ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ” จิตของพระภิกษุปัญจวัคคีย์

               พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน  นั่นคือ  จิตหลุดพ้นจากการถือมั่น  ก็เลยบรรลุ

               เป็นพระอรหันต์ อันนี้คือสรุป






                                                          ๒๖๒
   257   258   259   260   261   262   263   264   265   266   267