Page 129 - ธรรมะบรรยาย2564
P. 129

ง่าย  นิพพานคือสบาย  นิพพานคือไม่กลับมาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไป  ตรงนี้แหละเป็นที่ของ

               พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” ก็คือ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง”

                                                                           ี
               ก็คือมันอยู่ง่าย ทุกอย่างมันง่าย ไม่ขึ้นอยู่กับใคร มันอิสระ มันเสร
                                                                                             ิ
                     “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” คือ สูญจากจิตที่จะทำให้มัวหมอง ไม่มีอะไรจะทำจตมัวหมองอีก
               แล้ว  มันจะผ่องใสมันจะเบิกบาน  มันจะมีแต่ความง่ายความสุขสบาย  อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสอย่าง

               นั้น  มันจะมีความเย็น  ดับความทุกข์  ความเร่าร้อน  ความกังวลใจ  ความหงุดหงิดใจ  ความเสยใจ
                                                                                                      ี
               ความน้อยใจ พลัดพรากจากโน้น พลัดพรากจากนี้ไปไม่มีอีกแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ที่ว่า

               “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” สูญจากญาติพี่น้อง สูญจากสามี สูญจากภรรยา สูญจากทรัพย์สินสมบัติ

               สูญจากหน้าที่การงาน

                     มันเหนือกิเลสทั้งปวง แต่ตอนนี้เรายงไม่ถึงขั้นนั้น เราก็พยายามศึกษาค้นควาหาความสงบให้
                                                      ั
                                                                                          ้
               มันได้ แค่พัฒนาจิตของเราให้มันอย่างนี้ สวดมนต์บ่อย ๆ เดินจงกรมบ่อย ๆ นั่งสมาธิบ่อย ๆ เราก็

               ทำของเราไปอย่างนี้  ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวัน  ๆ  แม้จะไม่ได้ทุกวัน  เราก็ทำให้เป็นนิสัย  อุปนิสัยบ้าง

               “อุปนิสัย”  แปลว่าเข้าไปใกล้นิสัย  แต่ยังไม่ถึงขั้นนิสัย  “อุปปะ”  แปลว่าเข้าไป  เข้าไปเพื่อจะเป็น

               นิสัย เรียกว่าอุปนิสัย ให้มันเข้าไปก่อน เข้าไปหานิสัย ยังไม่ถึงขั้นนิสัย ถ้าถึงขั้นนิสัยแสดงว่าทำได้

               ปกติแล้ว เมื่อเป็นนิสัยมาก ๆ ก็เป็นวาสนา ก็คืออยู่ในจิตของเราตลอดไป เป็นสิ่งที่ดีด้วย

                     อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายังมีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำ เราก็ต้องทำไปเถอะไม่เป็นไป เพราะไม่ใช่ว่า

               เราจะบรรลุธรรมในวันนี้หรอก มันก็ต้องอาศัยกาลเวลา แม้แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ต่าง ๆ ก็

               บำเพ็ญบารมีมาหลายภพหลายชาติ  แล้วก็พลาดพลั้งมาก็มี  ไม่ใช่ว่าองค์นั้นองค์นี้ทำอย่างนี้อย่าง

               เดียวแล้วไม่เคยพลาดพลั้งเลย  เพราะว่าตราบใจที่เรายังมีกิเลสอยู่  ก็จะทำให้จิตของเราตกต่ำเป็น

               บางครั้ง สูงเป็นบางคราว แต่อย่างไรก็พยายามรักษาไว้ ถ้ารักษาไว้ได้ดีเท่าไหร่ มันก็เป็นอุปนิสัย ถ้า

               เป็นอุปนิสัยเข้าไป ๆ เข้าไปใกล้ ๆ ก็เป็นนิสัย นอนเนื่องอยู่ในจิต พอนอนเนื่องอยู่ในจิตหลายครั้ง ๆ

               ก็เป็นวาสนาอยู่ในจิต อุปนิสัยก็กลายเป็นนิสัย

                     “นิสัย”  เป็นวาสนา  ก็คืออยู่ในจิตของเราแล้ว  พอเป็นวาสนาก็เป็นอริยทรัพย์ที่จะไปกับเรา

               ข้ามภพข้ามชาติ ในที่นี้หมายถึงใจ หมายถึงจิต เพราะว่าร่างกายยังไงก็ต้องสลาย เมื่อร่างกายสลาย

                                                ่
               อะไรพาใจนี้ไป พระพุทธเจ้ากล่าววา สองคนพาไปก็คือ “บาปกับบุญ” เพราะฉะนั้น เราก็เอาบุญไป
               บาปเราก็เอาน้อย ๆ หน่อย ถ้าไม่เอาไม่ได้ ไม่เอาได้ยิ่งดี เอาบุญมาก ๆ มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้จิตของ

                                                               ุ
               เราราเริงผ่องใสเบิกบานตลอดไป สาธุ สาธุ สาธุ อนโมทามิ
                    ่



                                                          ๑๒๙
   124   125   126   127   128   129   130   131   132   133   134