Page 32 - ธรรมะบรรยาย2564
P. 32

ให้ขาดตกบกพร่อง ๓) ตั้งใจสวดด้วยจิตเมตตาปรารถนา ที่จะทำให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง อันนี้องค์

               ๓ ของผู้สวด ส่วนองค์ ๓ ของผู้ฟังก็คือ ๑) ไม่เคยทำบาปกรรมหนัก คือ อนันตริยกรรมหรือกรรม

               หนัก ๕ เช่น ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตห้อ ยุยงพระสงฆ       ์

               ให้แตกความสามัคคีกัน  ๒)  ไม่ใช่บุคคลที่มีความเห็นผิดว่า  กรรมและผลของกรรมนั้นไม่มี  ๓)  มี

               ความเชื่อมั่นและเลื่อมใสในอานุภาพของพระปริตร

                     อันนี้คือพระพุทธเจ้านั้นแนะนำพุทธบริษัทให้รู้จักสวด  พระอาจารย์หลวงพ่อของเรา  เจ้า

               ประคุณ  สมเด็จพระญาณวชิโรดมก็เหมือนกัน  ท่านจะเน้นว่า  การสวดมนต์นี้มันจะสามารถทำให้

               เราสุขภาพดีด้วย เนื่องจากว่าสวดแล้ว เป็นสมาธิภาวนา คำว่าภาวนา แปลว่า เอาสิ่งที่ดี ๆ เข้าไปสู่

               จิตของเรา เช่นเราสวดประจำ สวดทุกวัน ๆ สวดอิติปิโส ภควา มันก็จะจำได้ ก็แสดงว่า มันเข้าไป

               อยู่ในจิตของเราแล้ว บทสวดใดที่สวดเป็นประจำนั้นจะเข้าไปอยู่ในจิต เมื่อเข้าไปอยู่ในจิตก็จะเป็น

                                  ู่
               ธรรมะเป็นเครื่องอย เมื่อเรานึกถึงอะไร เราก็นึกถึงบทสวดมนต์ จะไปไหน ตกใจก็ “พุทโธ” มันจะ
               ขึ้นมาทันที บางคนก็ตกใจก็ว่านึกถึงคนนั้นคนนี้ แต่ว่าเราสวดมนต์เป็นประจำหรือว่า  “พุทโธ ๆ”

               เป็นประจำ ตกใจก็นึกถึงพุทโธขึ้นมาเลย หมายความว่าบทสวดหรือคำบริกรรมที่เราท่องไว้ ๆ จน

               ขึ้นใจ ก็จะอยู่ในจิตของเรา เรียกว่า “สมาธิภาวนา”

                     เพราะฉะนั้น  การภาวนาหรือการสวดมนต์  จะทำให้สามารถท่องจำคำสอนของพระพุทธเจ้า

               ได้  และการสวดมนต์นี้หลวงปู่มั่นก็พูดว่า  การสวดมนต์ถ้าสวดออกเสียงพอฟังได้นั้นมีอานุภาพแผ่

               ได้แสนจักรวาล ถ้าสวดมนต์เช้าเย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล ถ้าสวดเต็มเสียงมี

               อานุภาพแผ่ไปได้ตลอดอนันตจักรวาล  แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ใน  ๓  ภพ  และที่สุดอเวจี  มหานรก  ยัง

               ได้รับความสุขเมื่อแว่วเสียงเสียงสวดมนต์ผ่านลงไปหรือครู่หนึ่ง ยังดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลย ที่พูด

               เช่นนี้หมายความว่า หลวงปู่มั่นไม่ใช่พูดถึงเรื่องเสียงที่ไปเป็นกระแสจิต ๆ ไม่มีอะไรกั้นได้ อย่างเช่น

               พระพุทธเจ้าเวลาจะตรวจดูอุปนิสัย  วาสนาของบุคคลทั้งหลาย  พระองค์ก็ส่งกระแสจิตไป  ที่นี้

                                                                                        ่
               กระแสจิตของพระพุทธเจ้านั้นมีพลังงานมาก  มันก็เลยไปทั่วโลก  เมื่อเป็นเชนนี้  ใครก็ตามที่มี
               อุปนิสัย มีวาสนา มีบารมี มันก็มีสัญญาณขึ้นเหมือนเรามีสัญญาณโทรศัพท์ มีคลื่นรับกระแสคลื่น

               นั้นได้ ใครส่งโทรศัพท์มาหรือโทรศัพท์มาหรือเฟซบุ๊กมาก็จะขึ้นคลื่น เมื่อเปิดรับปั๊ป อย่างที่วัดเทพ

                                    ้
               ออนไลน์เฟซบุ๊กเพื่อใหท่านทั้งหลายร่วมสวดรัตนปริตร  ถ้าใครมีเครื่องรับดี  ๆ  เปิดเข้ามาเฟซบุ๊ก
               ของวัดเทพเจติยาจารย์ก็จะขึ้น แล้วเราก็กดรับ มันก็จะรับสัญญาณจากวัดเทพได้

                     เพราะฉะนั้น  พระพุทธเจ้าก็ส่งกระแสจิตไปทั่วโลกเหมือนกัน  เมื่อส่งไปแล้วใครที่มีคลื่นดี

               กระแสจิตดี มันก็จะรับคลื่นของพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าก็จะเช็คดูว่าคนนี้อยู่ที่ไหน พระองค์ก็



                                                           ๓๒
   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37