Page 129 - รายงานวิจัยน้ำทะเล_Neat
P. 129
119
ความรุนแรงของคลื่นลมและไม่สามารถยึดเกาะดินไว้ได้จึงหลุดลอยไปกับกระแสน้ า นอกจากนี้ยังมี
ปัญหาเกี่ยวกับการบุกรุกการถางปุาชายเลน อีกทั้งการปล่อยน้ าเสียของโรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน
ขยะและผักตบชวาลงในแหล่งน้ า
2.3.3 การลดลงของสัตว์น้ า การรบกวนระบบนิเวศจากการก่อสร้างริมชายฝั่งและ
การกัดเซาะชายฝั่ง รวมถึงการปล่อยน้ าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นสาเหตุหนึ่งที่ท าให้จ านวน
ชนิดและปริมาณของสัตว์ที่พบริมชายฝั่งลดลงอย่างมาก
2.3.4 การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน พื้นที่ชายฝั่งตามธรรมชาติ
นอกจากถูกกัดเซาะพังทลายแล้ว บางส่วนยังได้ถูกแปรเปลี่ยนสภาพการใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่นากุ้ง
การขายหน้าดิน ท าให้พื้นที่ชายฝั่งลดน้อยไปเป็นจ านวนมาก
3. วิธีการแก้ไขปัญหาและกลไกการจัดการของชุมชน
การกัดเซาะชายฝั่งได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนในพื้นที่
หมู่ที่ 3 บ้านสหกรณ์ 1 และหมู่ที่ 8 บ้านสหกรณ์ ท าให้ชาวบ้านขาดรายได้จากการท าอาชีพประมง
เนื่องจากการลดลงของสัตว์น้ า ขณะเดียวกันต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้าง
ที่ได้รับความเสียหาย ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสิ่งปูองกันการกัดเซาะชายฝั่ง มีดังนี้
3.1 ด้านพื้นที่และที่อยู่อาศัย
ด้วยวิกฤตกัดเซาะที่เกิดขึ้นส่งผลให้ชาวบ้านโคกขามด าเนินการจัดท างานวิจัยของ
ตัวเอง ในปี พ.ศ. 2546 โดยมุ่งไปที่การฟื้นคืนระบบนิเวศชายฝั่งที่สูญเสียไปจากการกัดเซาะ ซึ่งเป็น
การฟื้นคืนวิถีชีวิตให้กับชุมชน โดยใช้กระบวนการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ ชาวบ้านเป็นผู้ศึกษาแรกๆ
โดยการน าเอาไม้เก่าๆ มาปักไว้ในพื้นที่ศึกษา เพื่อค้นหาวิธีการและรูปแบบที่ช่วยชะลอคลื่นและ
ดักตะกอนได้ เรียนรู้จากกระบวนการธรรมชาติน าไปสู่การออกแบบแนวปักไม้ไผ่กันคลื่นบริเวณหน้า
ชายฝั่งทะเล โดยออกแบบลักษณะโครงสร้างเป็นเสาไม้ไผ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 นิ้ว ยาว 6 เมตร
ปักลงพื้นท้องทะเลจัดวางให้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมจ านวน 90-100 ล า ให้หัวสามเหลี่ยมเข้าหาหน้าคลื่น
โดยปักเป็น 4 แถว สลับกันเพื่อปิดช่องว่าง เมื่อคลื่นพัดเข้ามาถูกไม้ไผ่แถวนอกจะลดความแรงลงไป
ส่วนคลื่นที่ผ่านเข้ามาได้ก็จะไปถูกในแถวต่อๆ ไป ก็อ่อนแรงลงอีก ไม่มีพลังพอที่กัดเซาะแนวชายฝั่ง และ
ระหว่างคลื่นม้วนกลับตะกอนที่มาด้วยก็จะตกตะกอนบริเวณแนวชายฝั่งหลังแนวไม้ไผ่ชะลอคลื่นท าไว้
ซึ่งเมื่อตะกอนมาสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนตื้นเขินชาวบ้านก็ท าการปลูกปุาชายเลนอย่างต้นแสมและ
ล าพูมาปลูกช่วยยึดตะกอนนี้ไว้ให้งอกกลายเป็นแผ่นดินกลับคืนมา (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,
2556)
การแก้ปัญหาในด้านที่อยู่อาศัยของชุมชนในพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านสหกรณ์ 1 และหมู่ที่ 8
บ้านสหกรณ์ โดยการเปลี่ยนแปลงลักษณะบ้านเรือน จากเดิมเสาบ้านที่เอนเอียงตามความแรงของ
คลื่น พื้นไม้ที่ปูพื้นถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นวัสดุจ าพวกหินและปูนเนื่องจากมีความคงทนแข็งแรงมากกว่า
ลักษณะของตัวบ้านเปลี่ยนเป็นแบบยกสูงขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายของตัวบ้านจากระดับน้ าทะเล
ที่เพิ่มสูงขึ้นและการกัดเซาะ จากคลื่น รวมถึงมีการก่อสร้างก าแพงกันคลื่นที่ท าจากอิฐบล็อกคอนกรีต
ซึ่งใช้งบประมาณค่อนข้างสูงประมาณ 100,000-200,000 บาทต่อความยาว 1 กิโลเมตร โครงสร้าง
รูปแบบนี้มีความแข็งแรงคงทนและสามารถใช้งานได้ระยะยาวนาน การสร้างแบบก าแพงกันคลื่นแบบ
หินทิ้ง ค่าใช้จ่ายประมาณ 12,000-20,000 บาทต่อครั้ง ก าแพงกันคลื่นแบบเสาไฟฟูาหรือแท่งคอนกรีต