Page 14 - COJ-2020_
P. 14
๓.๓ ศาลฎีกา
เป็นศาลสูงสุด มีประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นประมุขของตุลาการศาลยุติธรรม เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ศาลฎีกามีเขตอำานาจทั่วทั้งราชอาณาจักร มีอำานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์หรือฎีกาคำาพิพากษา
หรือคำาสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำานาจพิจารณา
พิพากษาคดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้เสนอต่อศาลฎีกาได้โดยตรง (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา ๒๓) คำาสั่งหรือคำาพิพากษาของศาลฎีกาเป็นที่สุด เช่น คดีอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง
หรือคดีเลือกตั้งตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๖๑
สำาหรับการตัดสินคดีความนั้น ศาลฎีกาจะมีองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีประกอบด้วยผู้พิพากษา
อย่างน้อย ๓ คน แต่หากมีคดีความที่ขัดข้องในเรื่องข้อเท็จจริงหรือประสบปัญหาข้อกฎหมาย และประธาน
ศาลฎีกาเห็นควรให้มีการพิจาณาตัดสินความอย่างถี่ถ้วน ประธานศาลฎีกามีอำานาจสั่งการให้นำาปัญหา
ดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยต่อไป ทั้งนี้ ศาลฎีกาจะมีกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ทำาหน้าที่ในลักษณะเดียวกันกับกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลอุทธรณ์
คดีชำานัญพิเศษ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการไขข้อขัดข้องทางกฎหมายของบ้านเมืองให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ได้กำาหนดให้ศาลฎีกามีแผนกคดีอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง เพื่อทำาหน้าที่พิพากษาคดีที่มี
ร้องเรียนในเรื่องความถูกต้องและความเหมาะสม ทั้งด้านสถานภาพทางการเงิน หรือมูลเหตุที่แสดงให้เห็น
ถึงการกระทำาทุจริตในหน้าที่ของผู้ดำารงตำาแหน่งทางเมือง ทั้ง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น ซึ่งปรากฏตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการพิจารณาคดีดังกล่าวจะมีองค์คณะผู้พิพากษา
ในแผนกนี้ ประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำารงตำาแหน่งไม่ต่ำากว่าผู้พิพากษา
ศาลฎีกา จำานวน ๙ คน ซึ่งได้รับคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เข้ามาทำาหน้าที่ตัดสินคดีความ มีการ
ขึ้นนั่งพิจารณาคดีเช่นเดียวกันกับการตัดสินคดีความของศาลชั้นต้น แต่การพิจารณาคดีจะแตกต่างไปจาก
คดีทั่วไป เนื่องจากเป็นระบบไต่สวน ซึ่งศาลมีอำานาจไต่สวนเพื่อเสาะหาข้อเท็จจริง และสามารถเรียกหา
พยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยคำาพิพากษา
ถือเป็นที่สุด เว้นแต่มีพยานหลักฐานใหม่ จึงสามารถอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
13