Page 96 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 96

๘๓




               น าเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ค านวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัม

                                                                 ื่
               ขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต น าเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพอจ าหน่าย” เดิมเมทแอมเฟตามีนจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์
               ในประเภท ๒ ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์

               ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ไม่มีการน าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายมาใช้บังคับ แต่โดยเหตุที่สารกระตุ้น
               ในกลุ่มแอมเฟตามีน (ATS) นี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไปในกลุ่มคนจ านวนมากหลังจากที่การแพร่ระบาดของ

               เฮโรอนลดลงไปในประเทศไทย ในปี ๒๕๓๙ จึงมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๑๓๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙) เรื่อง
                    ี
               ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม
               ๒๕๓๙ ออกมาใช้บังคับ ยกระดับความส าคัญของสารกระตุ้นในกลุ่มแอมเฟตามีน (ATS) จากที่เคยถูกจัดอยู่ใน

               ประเภทของวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘
               ให้ขึ้นเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เทียบเท่า

               กับเฮโรอีน ดังนี้ หากเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณเข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายแบบเด็ดขาด การกระท าของจ าเลย

                                ื่
                                                   ิ
               ย่อมเป็นความผิดเพอจ าหน่าย โดยไม่อาจพสูจน์หักล้างได้ ซึ่งในปี ๒๕๔๔ ศาลฎีกาได้ส่งค าโต้แย้งของจ าเลยมายัง
               ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยว่า มาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ขัดหรือ
               แย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ เรื่องหลักการสันนิษฐานว่าจ าเลยเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่
                                                                                                        ั
               ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีค าวินิจฉัยที่ ๑๑/๒๕๔๔  ว่า ปัญหายาเสพติดให้โทษในปัจจุบันเป็นปัญหาส าคัญร่วมกนของ
                                                    ๒๐
               นานาอารยประเทศ ประกอบกับยาเสพติดให้โทษเป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพและชีวิตของมนุษย์ จึงต้องมีบทลงโทษ

               ที่หนักกว่าปกติ รวมทั้งต้องมีมาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาด การที่กฎหมายก าหนดให้ปริมาณสารเสพติดให้โทษใน
                                                                               ื่
               ประเภท ๑ เป็นจ านวนที่ชัดเจน ตามมาตรา ๑๕ วรรคสองนั้น มุ่งประสงค์เพอลงโทษผู้ผลิต น าเข้า ส่งออก หรือมี
               ไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ซึ่งค านวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป เสมือนว่าการ
               กระท าเช่นนั้นเป็นไปเพอการจ าหน่าย เนื่องจากยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ นั้น เป็นภัยต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง
                                  ื่
                                                                                              ั
               หากการผลิต จ าหน่าย น าเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองมีปริมาณมากเท่าใด ผลกระทบอนเป็นภัยต่อสังคม
               ก็จะยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามการที่กฎหมายก าหนดปริมาณสารเสพติดให้โทษประเภท ๑ เป็นเพียงเกณฑ์
               เปรียบเทียบส าหรับฐานความผิดที่จะน าไปสู่การลงโทษเท่านั้น ผู้ที่จะได้รับโทษตามกฎหมายดังกล่าวจะต้องผ่าน

                                                                                             ิ
                    ิ
               การพสูจน์หรือน าสืบของโจทก์แล้วว่าเป็นผู้กระท าความผิดจริง โดยศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยหรือพพากษาชี้ขาด และ
                                                                               ื้
               ก าหนดโทษ แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๓ เป็นบทบัญญัติที่รับรองหลักการพนฐานของกฎหมายอาญาของนานา
                                                                            ื้
                                        ื่
               อารยประเทศ มีเจตนารมณ์เพอรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพนฐานของบุคคล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาหรือ
               จ าเลยในคดีอาญาทั่วไป ซึ่งมีหลักการว่า ในคดีอาญาโจทก์มีภาระต้องน าสืบการกระท าของผู้ต้องหาหรือจ าเลยให้
               ครบทุกองค์ประกอบความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยผู้ต้องหาหรือจ าเลยไม่จ าต้องน าพยานหลักฐานมา

                                                     ี
                                                         ิ
               พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนและตราบใดยังไม่มค าพพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าได้กระท าความผิด บุคคลนั้นจะได้รับ

                       ๒๐  ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๕ เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๒ ก หน้าที่ ๑๐๔.
   91   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101