Page 70 - คู่มือปฏิบัติงานศาลอาญาคดีทุตจริตฯ
P. 70
คู่มือการปฏิบัติงานศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
| 59
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับที่พยานเบิกความมาแล้ว หรือไม่ใช่ค าถามที่ได้เสนอไว้ก่อนตามค าสั่งศาลให้
อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ โดยค านึงถึงหลักการค้นหาความจริงและหลักความเป็น
ธรรมเป็นส าคัญ
ข้อสังเกต
๑. คดีที่อัยการสูงสุด พนักงานอัยการ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ
ป.ป.ช. เป็นโจทก์ เมื่อพยานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนหรือไต่สวน
แล้ว ก็ไม่จ าต้องให้พยานเบิกความในรายละเอียดนับแต่เริ่มต้นเหมือนดังเช่นคดีอาญาในระบบ
กล่าวหาอีก ให้ศาลหรือคู่ความถามเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือตามข้อโต้แย้งของแต่ละฝ่าย
ส่วนการถาม ศาลและคู่ความทุกฝ่ายสามารถใช้ค าถามน าได้
๒. เมื่อน าระบบไต่สวนมาใช้ และกฎหมายก าหนดให้ศาลมีบทบาทมากขึ้นในการ
ค้นหาความจริงแล้ว โจทก์ยังคงมีภาระการพิสูจน์อยู่หรือไม่ เห็นว่า โดยหลักการพื้นฐานของระบบ
พิจารณาความ ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่น าพยานหลักฐานเข้ามาสืบให้ปรากฏ
ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น และเมื่อโจทก์กล่าวหาว่าจ าเลยกระท าความผิด โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องน า
พยานหลักฐานมาสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่ตนกล่าวอ้าง ดังนั้น ถึงแม้ศาลจะมีบทบาท
ในการค้นหาความจริง โดยการค้นหาจากพยานหลักฐานของคู่ความรวมทั้งที่ศาลเรียกมาเอง
ก็ตาม ก็ไม่ท าให้โจทก์หมดภาระในการน าพยานหลักฐานของตนมาแสดงต่อศาลแต่อย่างใด
นอกจากนี้เมื่อ พ.ร.บ. วิ. ทุจริตฯ ไม่ได้ก าหนดมาตรฐานการพิสูจน์ไว้ เป็นการเฉพาะให้แตกต่าง
จากคดีอาญาทั่วไป ก็ต้องน ามาตรฐานการพิสูจน์ในคดีอาญาทั่วไปมาใช้กับคดีทุจริตฯ กล่าวคือ
ศาลจะพิพากษาลงโทษจ าเลยไม่ได้ จนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระท าความผิดจริงและจ าเลยเป็น
ผู้กระท าความผิดนั้น
๓. การบันทึกค าเบิกความสามารถท าได้หลายรูปแบบ ซึ่งตามตัวอย่างที่หยิบยก
เป็นลักษณะหนึ่งของการบันทึกค าเบิกความที่จะปรากฏข้อเท็จจริงในรูปแบบที่ง่ายต่อการอ่าน
เพื่อจับประเด็น เพราะจะแยกประเด็นข้อเท็จจริงไว้เป็นเรื่อง ๆ รวมถึงประเด็นค าถามเรื่องใด
มีการเบิกความแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ก็สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย ตาม ภาคผนวก 22