Page 105 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 105
37
เราปล่อยให้กว้าง กว้างเท่าจักรวาล ยิ่งกว้างออกไปอย่างไม่มีตัวตนกว้างเท่าจักรวาล เรารู้สึกสบายมากนะ ขนาดเขากวา้ งมากเลยนะเผลอแปบ๊ เดยี วเหลอื แคน่ แี้ ลว้ เมอื่ กนี้ มี้ นั หดมาตอนไหนไมร่ ู้ รอู้ กี ทคี อื เหลอื แคน่ ี้ เหลือนิดเดียว
จริง ๆ แล้วเขาหดมาตอนไหน พอมีอารมณ์มีผัสสะที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นทางตาหรือทางหู ก็ตาม ปัง!เข้ามาปุ๊บ หดเหลือนิดเดียว ตอนขยายใช้เวลานานมากเลย ตอนหุบแป๊บเดียว ไม่กี่วินาทีเหลือ นิดเดียว พอมีตัวตนปุ๊บแสดงว่าเราชานาญมากนะ ชานาญในการมีตัวตน การละทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติของเขา บอกไม่มีตัวตน พระพุทธเจ้าตรัสเป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน แต่เราชานาญในการที่จะเอามาเป็นตัวตน ตอนนี้เราปฏิบัติธรรมที่เรียกว่าทวนกระแสย้อน ๆ ๆ ทวนกระแส จากความมีตัวตนเพื่อละความมีตัวตน จากบัญญัติ ทวนกระแสจากบัญญัติเพื่อทวนที่จะย้อนกลับไปเข้าไปสู่ปรมัตถ์ ลองสังเกตดูนะ เอ่อนี่นะ! เริ่มเข้าสู่สภาวะพิเศษขึ้นไปอีกแล้ว สนุกไหม...สภาวธรรม สังเกตพอเราดูความคิดเรา ตอนที่เรารู้ไม่ทัน จะเป็นเรื่องราวยาวขนาดนี้ นั่นคือเป็นบัญญัติความเป็นกลุ่มก้อน พอเรารู้ปุ๊บเขาดับค่อย ๆ จางดับไป พอ เกิดขึ้นมาใหม่ดับสั้นลง เกิดขึ้นมาใหม่สติเราดีขึ้นดับสั้นลง ๆ เป็นรูปร่างก็เริ่มบางลง ๆ พอสติแก่กล้า มากขึ้น นี่คือทวนกระแสจากบัญญัติจะเข้าไปสู่ปรมัตถ์
พอสติมีกาลังมากขึ้นแค่แว็บขึ้นมาไม่มีรูปร่างดับไปแล้ว นี่คือเข้าไปสู่ปรมัตถ์แล้ว แว็บอายุเขา สั้นลง แว็บขึ้นมาบางทีแว็บเดียวเข้าใจเสร็จสรรพเลยว่าคิดเรื่องอะไร จากเมื่อก่อนยาวขนาดนี้ยังไม่รู้เลย ว่าตัวเองกาลังคิดอะไร เมื่อกี้นี้เราคิดอะไรอยู่พอดูหายไปแล้ว ตอนนี้พอเร็วขึ้นแว็บขึ้นมารู้เลยคิดอะไรอยู่ ตอ่ ไปพอเรมิ่ จะคดิ ดบั แลว้ เรมิ่ จะคดิ รทู้ นั ดบั เรมิ่ จะคดิ ดบั นนั่ คอื เรายอ้ นจากบญั ญตั ไิ ปสปู่ รมตั ถเ์ พอื่ อะไร เราทวนกระแสจากบัญญัติไปสู่ปรมัตถ์ เพื่อละเพื่อดับทุกข์เพื่อไม่เกาะเกี่ยวเพื่อที่จะไม่มีอุปาทาน แล้วเมื่อ ไหร่ก็ตามที่เห็นผุดขึ้นมาแล้วดับเลยเรายึดไม่ได้เลย จิตไม่สามารถไปยึดได้ไม่คลุกคลีเขารีบดับ เพราะ สังเกตได้เลยว่าทุกครั้งที่เห็นว่าแว็บขึ้นมาแล้วดับไป แว็บขึ้นมาแล้วดับเลย สภาพจิตเป็นอย่างไร ผ่องใส ไหม จิตจะใสจะตื่นตัวผ่องใสเบิกบานไม่ขุ่นมัว แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่ ๆ ก็เป็นที่อาศัย นี่คือการทวนกระแส ทวนจากบัญญัติไปสู่ปรมัตถ์แล้วอายุอารมณ์เขาสั้นลง กิเลสไม่สามารถอาศัยปรมัตถ์ได้ กิเลสไม่สามารถ อาศัยอารมณ์ปรมัตถ์ได้เพราะเขาสั้นมาก แว็บดับ แว็บดับ กิเลสจะอาศัยอารมณ์บัญญัติเสมอ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม ที่เราบอกว่าพอมีความคิด หรือเสียงขึ้นมาแล้ว พอไปฟังปุ๊บเห็น อาการเกิดดับ แทนที่จะเสียงทุ้มเสียงนุ่มเสียงเบาเสียงหวาน กลายเป็นว่าเสียงเกิดดับแบบนี้ อาการเกิด ดับของเสียงเป็นแบบนี้ แบบนี้ เสียงที่เป็นกลุ่มก้อนอยู่ จากที่เป็นกลุ่มก้อนกลายเป็นดับกระจายแล้วแว็บ หาย แว็บหาย แว็บหาย ไม่เกี่ยวกับเสียงทุ้มเสียงนุ่มเสียงหวานเสียงแหลม แต่ลักษณะอาการเกิดดับของ เสยี ง นนั่ คอื อาการพระไตรลกั ษณจ์ ะเขา้ สปู่ รมตั ถ์ และเมอื่ ไหรท่ เี่ หน็ อาการเกดิ ดบั ของเสยี งอนั นี้ กเิ ลสกเ็ กดิ ไม่ได้ หรือไม่สามารถเข้าไปปรุงแต่งให้เกิดกิเลส แต่เป็นเหตุให้จิตผ่องใสได้ ทาไมถึงเป็นเหตุให้จิตผ่องใส เพราะการที่จะเห็นอาการเกิดดับของเสียงได้ สติย่อมมีกาลัง ความไม่มีตัวตนต้องปรากฏ ยิ่งถ้าเห็นว่า เสยี งดบั แลว้ จติ ดบั เสยี งดบั จติ ดบั ดว้ ย จติ ดวงใหมข่ นึ้ มาเราจะเหน็ จติ ดวงใหม่ เสยี งจดั เปน็ รปู จติ ทไี่ ปรจู้ ดั เป็นนามก็เป็นรูปนามดับ รูปนามเกิดดับ ๆ ๆ รูปนามใหม่ขึ้นมา เป็นอย่างไร นี่คือการทวน ๆ ๆ กระแส