Page 13 - ดับตัวตน ค้นธรรม
P. 13

การกา หนดรแู้ บบนี้ ตอ้ งเขา้ ใจอยา่ งหนงึ่ วา่ เรากา หนดรตู้ ามความ เป็นจริงแตไ่ มใ่ ชบ่ งั คบั ใหเ้ ขาเปน็ การทเี่ รามเี จตนาทจี่ ะรวู้ า่ เขาเปน็ อยา่ งไร เราจะได้เห็นถึงสภาวธรรมที่กาลังปรากฏจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่ ใช้สัญญา เราจาได้ว่านี่คือหัวเข่า นี่คือหลัง นี่คือไหล่... ถึงแม้ไม่มีรูปร่าง ก็จาได้ว่าเป็นหลังเป็นไหล่ นั่นคือเราจะติดในบัญญัติ แล้วจะยึดเอา ความเป็นฆนบัญญัติ ความเป็นกลุ่มก้อนความเป็นเราขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ในการกาหนดอารมณ์ ขอให้กาหนดสภาวะตามที่ เป็นจริง เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น! เพราะตัวยึดหรืออุปาทาน ไม่ใช่ รูปยึด แต่จิตเป็นตัวยึด รูปเป็นที่อาศัยของเวทนา แต่รูปไม่ได้ยึดเวทนา ตัวที่ยึดเวทนาคือจิตของเรา ความเข้าใจของเราที่เข้าไปยึดเอาเวทนาว่า เป็นของเราแค่นั้นเอง! พระพุทธเจ้าบอกว่าเวทนาเป็นของไม่เที่ยง เราก็ เข้าไปพิจารณาดูตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแค่นั้นเอง ว่าไม่เที่ยงอย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร ต่างจากเดิมอย่างไร
ไมใ่ ชร่ วู้ า่ ไมเ่ ทยี่ งแลว้ ไมส่ นใจ ถา้ รวู้ า่ ไมเ่ ทยี่ งแลว้ ไมส่ นใจ ตรงนนั้ ทั้งสติ สมาธิ ปัญญาของเราจะไม่พัฒนาขึ้น แค่เข้าใจแล้วปล่อยไป แล้วความทุกข์ก็จะตามมาเป็นปกติอีก เราก็จะเกิดความทุกข์กับเวทนาที่ เกิดขึ้นอยู่เป็นประจา เพราะเรา “คิด” ว่าปล่อยวาง... คาว่า “ปล่อยวาง” กับ “ปล่อยทิ้ง” ต้องแยกกันนิดหนึ่งนะ บางทีเรา อ้ะ! ปล่อยไปเหอะ ปล่อยไป ไม่ยึด.... แต่ก็ยังติดอยู่ในใจ
การที่เราปล่อยวางจริง ๆ ปล่อยวางด้วยปัญญา พิจารณาจนเห็น ชัดตามความเป็นจริง ตรงนี้แยกส่วนกันอย่างสิ้นเชิง เขาเรียกเป็น “สมุจเฉท” แยกส่วนกันอย่างเป็นสมุจเฉท คือสิ้นเชิง เห็นชัดเจนแล้ว ว่าเป็นคนละส่วนกัน ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่ใช่ของเรา ตรงนั้นแหละจิตก็จะ
5


































































































   11   12   13   14   15