Page 30 - ดับตัวตน ค้นธรรม
P. 30
22
และถา้ พจิ ารณาอยา่ งไมม่ ตี วั ตน ไมม่ เี รา ไมม่ เี ขา ไมม่ กี ารปรงุ แตง่ แล้วอาการอย่างนี้เกิดขึ้นได้หรือเปล่า ? หรือทาไมถึงเกิดขึ้นได้ ? ก็ต้อง ย้อนกลับมาดู “สภาพจิต” เรา - เรามีสติเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม จิตเรายัง ผ่องใสเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม จิตตั้งมั่นมากขึ้นหรือเท่าเดิม อาการนี้ถึง ปรากฏเกิดขึ้นมาได้ ? นี่คือการพิจารณา เราจะได้เห็นว่าเหตุที่สภาวธรรมนี้ เกดิ ขนึ้ สงิ่ ทไี่ มเ่ คยเหน็ ปรากฏเกดิ ขนึ้ มา เพราะสตเิ ราตา่ งไปอยา่ งไร สมาธิ เราตา่ งจากเดมิ อยา่ งไร การใสใ่ จในสภาวธรรมตา่ งจากเดมิ อยา่ งไร นนั่ คอื เป็นเหตุและผลที่ตามมาที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้านั้นจึงปรากฏเกิดขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาธรรม ถ้าเรากาหนดรู้แบบนี้ เราจะรู้ ถึงเหตุและผล เหตุปัจจัยที่ทาให้สภาวธรรมข้างหน้าเกิด ที่พิจารณาตรงที่ ว่าสติมีกาลังแค่ไหน ต่างจากเดิมอย่างไร สมาธิมีกาลังเท่าเดิม นิ่งเท่าเดิม สงบมากกวา่ เดมิ นคี่ อื การพจิ ารณาเรอื่ งอะไร ? กเ็ รอื่ งของพละหา้ อนิ ทรยี ์ ห้านั่นแหละ สติมีกาลังมากขึ้นก็คือเป็นตัวพละ ตัวกาลังของสติ สมาธิมี กาลังขึ้นมา ก็คือตัวสมาธิที่เป็นพละ มีกาลัง พละก็คือพลังนั่นเอง สมาธิ มีกาลังมากขึ้น สติมีกาลังมากขึ้น เพราะฉะนั้นคือการปรับความสมดุล เพิ่มกาลังของสติ สมาธิ ปัญญา สภาวธรรมข้างหน้าจึงปรากฏเป็นใน ลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ ลองสังเกตดูว่า ถ้าสติอ่อน สติน้อย สภาวธรรมที่เคยชัดอยู่ ข้างหน้าเปลี่ยนไปอย่างไร - เขาเริ่มจาง เริ่มมัว เริ่มสลัว เริ่มซึม หรือว่า เป็นอย่างไร ? นั่นคือเหตุและผลที่เกิดขึ้นมา สภาวะปรมัตถ์ไม่ถูกปรุง แต่งด้วยกิเลส ด้วยตัวตน ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ แต่ เป็นอาการของรูปนามที่กาลังปรากฏเฉพาะหน้า เป็นไปตามเหตุปัจจัย ทาไมสภาวะปรมัตถ์ถึงเป็นสภาวธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส ?