Page 173 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 173
155
ว่าเราต้องการหลับหรือต้องการที่จะกาหนดอารมณ์ เวลาเรานอน อารมณ์ อะไรที่จะปรากฏชัด ? ที่จริงไม่ต่างกันหรอก อาการที่จะปรากฏชัดขึ้นมา ก็ คืออาการของ กาย เวทนา จิต หรือธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏขึ้น มาให้เรารับรู้อยู่เสมอเป็นปกติ
อารมณ์จรอีกอย่างหนึ่ง นอกจากความคิดก็จะเป็นเสียง เสียงอย่าง ใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงคน เสียงพัดลม เสียงแอร์ หรือ เสียงนาฬิกา บางทีเรานั่งเงียบ ๆ ไม่มีอะไรเลย มีแต่เสียงนาฬิกาอย่างเดียว นั่นก็คืออารมณ์ที่เกิดขึ้น เราต้องมีสติเข้าไปกาหนดรู้อาการเกิดดับของเสียง นั้นแหละ ถ้าหาพองยุบไม่เจอ เวทนาไม่มี ความคิดไม่เกิดขึ้น มีแต่เสียง นาฬิกาดัง ชัดอยู่ในความรู้สึกของเรา ให้ไปกาหนดรู้อาการเกิดดับของเสียง แทน เพราะอารมณ์ปัจจุบันขณะนั้นก็คือเสียง ฉะนั้น จึงต้องกาหนดอาการ เกิดดับของเสียงไป
อันนี้คืออารมณ์หลัก ๆ ของการเจริญกรรมฐาน การกาหนดอารมณ์ ทั้ง ๔ อย่างนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณาแบบเดียวกัน คือ การกาหนดรู้ลักษณะการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรืออาการพระไตรลักษณ์ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอารมณ์อะไรปรากฏชัดขึ้นมาให้เราได้รับรู้ก็ตาม ให้มีเจตนาที่จะเข้าไปรู้ว่า แต่ละอาการ แต่ละอารมณ์ ที่ปรากฏขึ้นมานั้น มี การเกิดและดับในลักษณะอย่างไร
ถา้ เราไมม่ เี จตนาทจี่ ะรวู้ า่ เขาเกดิ ดบั ในลกั ษณะอยา่ งไร กย็ ากทจี่ ะเหน็ ! ถ้ารู้แค่ว่ามีแล้วก็ปล่อย รู้ว่ามีแล้วก็ทิ้งไป เราจะเห็นแต่ว่า มี มี มี... แต่ไม่ เห็นว่าดับอย่างไร เขาเรียกว่า “เห็นแต่ตอนตั้งอยู่” ตอนเกิดไม่เห็น ตอนดับ ไม่เห็น เพราะฉะนั้น จึงต้องมีเจตนาที่จะรู้ทั้ง ๓ ขณะ ในขณะที่เรา กาหนดอาจจะทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็ไม่เป็นไร ขอให้มีความพอใจที่จะกาหนด หรือมีตัวฉันทะ มีความพอใจที่จะกาหนดที่จะพิจารณาสภาวธรรมที่กาลัง ปรากฏอยู่นี้ ให้รู้แจ้งเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ด้วยใจด้วยตาของเราเอง