Page 189 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 189
171
เพราะเหตุปัจจัย เราอาศัยรูปนามอันนี้ รูปนามนี้ยังสมบูรณ์ อาการ ครบ ๓๒ เมื่ออะไรปรากฏย่อมรู้ ตาดี หูดี... ตาดีก็เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ หู ดีก็ได้ยินเสียงที่ปรากฏขึ้นมาได้ ประสาทดีก็รับรู้ถึงผัสสะที่เกิดขึ้นว่าเป็น อย่างไร เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่งตึง ย่อมรู้ได้ ไม่ใช่ไม่มีเราแล้วไม่รู้ ไม่รู้ ก็เมื่อไม่มีรูป หรือว่าหมดการรับรู้ไป จิตดับไปจริง ๆ บางครั้งร่างกายดับไป แล้ว จิตยังไปเกิด ไปรู้ใหม่ต่อ รู้เรื่องอื่นต่อ ไม่สิ้นสุด ไม่จบ! จนกว่าเราจะ จบพรหมจรรย์นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น การที่เราปฏิบัติ การนั่งกรรมฐาน กาหนดอารมณ์ ทุกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ให้มีเป้าหมายหรือเจตนาที่จะเข้าไปรู้อาการ เกิดดับของทุก ๆ อารมณ์เป็นสาคัญ อย่างที่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า แม้แต่ จิตที่ว่างหรือความรู้สึกที่ว่าง ที่โล่ง โปร่ง เบา ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง แม้แต่ จิตที่ทาหน้าที่รู้ก็แสดงอาการพระไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีเจตนา ที่จะเข้าไปรู้ และสิ่งที่ต้องสังเกตก็คือว่า เมื่อกาหนดรู้อาการเกิดดับใน ลักษณะอย่างนี้แล้ว สภาพจิตใจเราเป็นอย่างไร เราได้เห็นอย่างนี้แล้ว ได้รู้ อะไรในสภาวธรรมที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่โยคีควรจะพิจารณา
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมเราไม่ต้องไปหาอะไรที่ไกล ๆ ตัว นอก ตัวเลย อาการของรูปนามก็ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน ทากิจกรรมต่าง ๆ กิน ดื่ม ทา พูด คิดต่าง ๆ สภาวธรรมก็ปรากฏ ได้เสมอ เหมือนที่เราสวดมนต์เมื่อกี้ “เป็นอกาลิโก” เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อเรามีสติกาหนดรู้ สภาวธรรมก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ฉะนั้น ขอให้เรา มีความตั้งใจ เวลามาปฏิบัติธรรมที ก็ให้มีเจตนา และตั้งใจทาจริง ๆ เพื่อ ประโยชน์ของเราเอง
อานิสงส์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ได้ดีเท่ากับตัวเราเองหรอกว่าปฏิบัติ ธรรมแล้วเราได้อะไร ใครจะพูดว่าอานิสงส์มากน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่เราจะ รู้ว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับเราจริง ๆ คืออะไร ณ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ สติเราดี