Page 231 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 231
213
เรื่อย ๆ บางคนก็ไม่อยากให้เขาเกิด ทาไมต้องเกิดมากาหนดให้เราจาโน่นจา นี่อยู่เรื่อย! ที่จริงเป็นตัวสติคอยเตือนเรา อันนั้นดี ถ้าสั่งให้เราเข้าไปรู้อารมณ์ ที่เกิดขึ้นมาดับอย่างไร อันนั้นไม่ผิด นั่นคือตัวสติคอยเตือนเรา เข้าไปนะ ดู ต่อว่าเป็นอย่างไร เข้าไปอีก ดูต่อว่าเป็นอย่างไร... สุข เบา สงบ ผ่องใส เบิก บานแค่ไหน กว้างขนาดไหน จิตเรามีกาลังแค่ไหน ถ้าเป็นภาษาแบบนี้ไม่ต้อง ไปห่วง ให้รู้อาการตามจิตที่เขาสั่ง นั่นคือสติคอยเตือนเราให้พิจารณาอาการ ต่าง ๆ ที่กาลังปรากฏอยู่ว่าเป็นอย่างไร
แต่ความคิดที่ต้องระวังก็คือ “ความคิดที่เป็นอกุศล” แล้วเราก็ไหล ตามความคิดที่เข้ามา ความคิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา แล้วก็ปรุงแต่งในฝ่าย อกุศลต่อไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเรากาหนดอาการเกิดดับไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ เป็นกุศลหรืออกุศลเกิดขึ้นมาก็ตาม ก็ให้กาหนดรู้ว่าเขาเกิดดับอย่างไร ความ คิดที่เป็นเรื่องราว ที่เป็นกุศลและอกุศล ไม่ใช่ตัวสติที่คอยกาหนดให้ดูตรงนี้ นะ ให้ทาแบบนี้นะ กาหนดต่อไปเป็นอย่างไร อันนี้เป็นสติคอยเตือน เพราะ ฉะนั้น สังเกตดี ๆ
ถ้าเราไม่แยกตรงนี้ บางทีก็จะกลายเป็นความกังวลในจุดที่ไม่ต้อง กังวล เราเข้าใจผิด แล้วเราไปกังวลกับอาการที่ดีอยู่แล้ว สติเราก็จะไม่ตั้งมั่น จิตเราไม่ตั้งมั่น แล้วมันจะซัดส่าย เริ่มราคาญตัวเอง... ทาไมถึงมีคาพูดเยอะ แยะขึ้นมามากมายในสมองเรา! เพราะฉะนั้น แยกให้ง่ายขึ้นก็คือ อารมณ์ที่ เกิดขึ้นมาเป็นกุศลหรืออกุศล และขณะที่อารมณ์ที่เป็นกุศลเกิดขึ้น ก็กลัว ว่าเราจะไปติดกุศล เลยรีบดับกุศลอันนั้น จริง ๆ แล้วถามว่า จิตที่เป็นกุศล จาเป็นต้องกลัวไหม ?
จิตที่ผ่องใสขึ้น เขาเป็นกุศลมากขึ้นหรือเปล่า ? จิตที่บริสุทธิ์ขึ้น เขา เป็นกุศลมากขึ้นหรือเปล่า ? กิเลสน้อยลงเท่าไหร่ จิตเป็นกุศลมากขึ้นหรือ เปล่า ? เราปฏิบัติขัดเกลาจิตเรา เพื่อให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้น แต่เมื่อ กุศลเกิดขึ้น เราก็กังวลว่าเดี๋ยวจะติดกุศล! เรากลัวติดกุศล กลัวอกุศลจะ