Page 236 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 236
218
สังเกตดู ใครก็ตามที่มีความสุข คนเข้าใกล้เขาก็มีความสุขด้วย ใช่ ไหม ? เขาแผ่พลังอะไร ? พลังฝ่ายกุศล เอากุศลเผื่อแผ่คนอื่น คนอื่นก็ มีความสุขด้วย ทาไมต้องกลัวจนขนาดที่ว่าเฉยอย่างเดียว ใครเข้ามาก็แห้ง แล้ง ใคร ๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่คนที่บ้านก็ยังระแวงว่ามาแบบไหนอีก แล้วนี่ เฉย นิ่ง อ่านไม่ออก... อ่านไม่ออกก็เลยหวาดผวากันอยู่ เรามีความ สุขเข้าไปสิ!
สงั เกตไหม เวลาเรามคี วามสขุ ความสขุ ทเี่ กดิ จากภายใน จากใจจรงิ ๆ มันทาให้โลกเราสดใส เวลาเรายิ้มเหมือนกับเปิดโลก โลกเราสว่างน่าอยู่ แต่ ไม่ติดโลกนะ แต่ก็จะเป็นโลกส่วนตัวของแต่ละคน โลกส่วนตัวก็คือ จิตของ เราเป็นโลกของเรา ถ้าจิตเรากว้างเท่าห้องนี้ โลกเราก็กว้างเท่าห้องนี้ เหมือน ที่อยู่ของเรา เขาเรียกว่า “วิหารธรรม” ใช่ไหม ? ดูก่อน เธอมีธรรมะข้อไหน เป็นเครื่องอยู่ ? อุเบกขา ใช่ไหม ? และมีเมตตาธรรม เพราะเมื่อมีความสุข เมตตาก็เกิดง่าย เขาจะเกิดเองโดยอัตโนมัติ
เราอยู่ด้วยเมตตาธรรม มีพลังของความเมตตาห่อหุ้มรูปเราอยู่ แล้ว เต็มอยู่ในใจเรา ใครเข้ามาก็มีความสุข ใครเข้ามาแล้วรู้สึกเย็นสบายใจกลับ ไป นั่นเราเปลื้องทุกข์ให้เขา คลายทุกข์ให้เขาได้ สังเกตดูสิ ความสุขที่เกิด ขึ้นมา ใครเข้าใกล้ก็มีความสุข จิตที่เป็นอุเบกขาแห้งแล้งนะ ถ้าอุเบกขาแบบ สงบ แล้วมีความสุขอยู่ภายในลึก ๆ เขาเรียกว่า “วางเฉยแต่มีเมตตารองรับ” วางเฉยในอารมณ์ที่ควรวางเฉย แต่มีเมตตารองรับอยู่ พร้อมที่จะให้อภัยเมื่อ เขาดีขึ้น พร้อมที่จะให้อภัยเมื่อเขากลับตัว ไม่ใช่อุเบกขาตลอดไป
เพราะฉะนั้น อาจารย์ถึงบอกว่าไม่ต้องกลัวติดสุข เพราะสุขก็ไม่เที่ยง! ความสขุ ยงั ไมเ่ กดิ เลยกลวั เสยี กอ่ นแลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมแลว้ แทนทจี่ ะ “นตั ถิ สนั ติ ปะรัง สุขัง” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง... นี่เรายังไม่เข้าถึงนิพพาน เราก็มีความสุขได้แล้ว อยู่ที่ใคร จะบัญญัติว่าความสุขประเภทนี้เป็นความสุขของนิพพานหรือเปล่า บางคน