Page 25 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 25
7
มีเจตนารู้ถึงสภาวธรรมที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าเราก็พอ อันนี้บอกว่าอารมณ์ หลัก ๆ ที่เกิดขึ้นทั้ง ๔ อย่างนี้ ไม่ว่าอารมณ์ไหนเกิดขึ้นก็ตาม เราจะได้ไม่ รังเกียจเขา เราจะได้ไม่ปฏิเสธเขา บางทีพอนั่งปฏิบัติแล้วมีเวทนาเกิดขึ้น เรา ก็กัดฟันสู้ สู้ในลักษณะที่เวทนาเป็นศัตรูของเรา เราไม่ได้สู้ในลักษณะที่เวทนา นั้นเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้น และเราต้องกาหนดรู้
เพราะเจตนาตรงนี้เอง ที่ทาให้เราเกิดความรู้สึกทรมาน เพราะเราตั้ง จิตผิดเสียแล้วว่า เวทนาคือศัตรูในการปฏิบัติธรรมของเรา ความคิดคือศัตรู ของความสงบ เมื่อเราคิดอย่างนี้ เริ่มต้นด้วยจิตที่เป็นอกุศล เมื่อเริ่มต้นด้วย จิตที่เป็นอกุศล สิ่งที่ตามมาก็คือ อกุศลก็จะมีกาลัง กุศลเราก็จะอ่อนแอ คือ สมาธิจะลดลง สติก็น้อยลง... ที่บอกไว้ก่อนอย่างนี้ เพื่อให้เรารู้ว่า “เขาจะ เกิดแน่นอน!” แต่จะเกิดตอนไหน นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับกาลังของสติ และสมาธิของเรา
เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องไปกังวล เพียงแต่ให้รู้ไว้ว่า อะไรเกิดขึ้นมา ก็ตาม ขอให้มีเจตนา และพอใจที่จะกาหนดรู้ รู้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องรู้แบบ เครียด สังเกตดู เวลาปฏิบัติธรรมแล้วเราเครียด เพราะเราต้องเอาให้ได้ ต้อง ทาให้ได้ ต้องชนะให้ได้ ต้องหาให้เจอ... แต่ “มองข้ามอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน” เราจะไปหาอารมณท์ ยี่ งั ไมเ่ กดิ กบั อารมณท์ ผี่ า่ นไปแลว้ เพราะฉะนนั้ การเจรญิ สติของเราหมายถึงว่า “ให้มีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน”
ถามว่า ปัจจุบันนี้อารมณ์ที่ชัดที่สุดสาหรับเราคืออะไร ? (โยคีกราบ เรียนว่า ลมหายใจเข้าออก) เห็นไหม รู้สึกได้ทันที ไม่ต้องไปคิดนาน ใจเรา อยู่ตรงไหนก็คือตรงนั้นแหละ ใจเรารับรู้อะไร นั่นคืออารมณ์ปัจจุบัน ขณะที่ ฟังอาจารย์พูด ถ้าเราได้ยินเสียงชัด อารมณ์ปัจจุบันก็คือเสียง แต่ขณะที่ฟัง อาจารย์พูด ความคิดชัดกว่า อารมณ์ปัจจุบันก็คือความคิด สังเกตดูสิ ขณะ ที่ฟังธรรม แต่ก็มีความคิด คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะมีการสลับ กันเป็นระยะ ๆ ว่าเดี๋ยวได้ยินเสียง เดี๋ยวก็ไปรู้ที่ความคิด เดี๋ยวได้ยินเสียง