Page 294 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 294
276
ผูกมัด ร้อยรัดสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในโลกนี้ก็คือ ตัวโลภะ โทสะ โมหะ
นั่นเอง
ที่จริงโลกของแต่ละคนก็เหมือนกัน ว่าโดยโลกมนุษย์เหมือนกัน
แต่โลก ๆ หนึ่งของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันคือโลกส่วนตัว เฉพาะอารมณ์ เฉพาะคน แล้วแต่ว่าใครจะยึดอะไรมากกว่ากัน ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น อารมณ์ไหนที่เราเข้าไปยึด แล้วทาให้เราทุกข์ นั่นคือโลกของเรา โลกที่เรา กาลังเป็นอยู่ ไม่ใช่เป็นโลกเดียวกับคนอื่น ชั่วขณะหนึ่ง เพราะฉะนั้นนี่ การที่เราจะพาเราไปเกิดจึงไปตามการยึดติด หรือไปตามกรรมของเรา ที่เรา สร้างโลกของเราเอาไว้
ตรงนี้ก็ยังเข้าตรงที่ว่า สมัยก่อนที่เขาปฏิบัติ แล้วก็อยากหลุดพ้น แต่หาทางไม่เจอ อยากพ้นจากเวทนา เพราะรู้ว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ พอแก่ขึ้น อายุมากขึ้น ก็เต็มไปด้วยเวทนา ก็เลยเพียรปฏิบัติ เพียรเจริญสติ ฝึก กรรมฐาน ทายังไงจะละกายนี้ได้ ? ปฏิบัติเข้าฌาน จนเข้าถึงอรูปฌาน หวังว่าเกิดชาติหน้าจะได้ไม่ต้องอาศัยรูปอันนี้ เพื่อไม่ให้มีรูป จะได้ไม่ต้อง ทุกข์กับรูป เลยกลายเป็นอรูปฌาน ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่ทุกข์กับรูป ความทุกข์ทางกายไม่เกิด แต่ก็ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ถึงเวลาก็ต้องกลับมาเกิด ตรงนั้นยังไม่สิ้นสุด เพราะว่ารูปดับไป แต่จิตไม่มี การเปลี่ยนแปลง ไม่เห็นการเกิดดับของนาม จิตเป็นหนึ่งตลอดเวลา นั่นก็ คือ ยึดจิตเอาไว้ ไม่ยึดกายแต่ก็ยึดจิต ก็เลยกลายเป็นจิตดวงเดียวรับรู้ ตลอดเวลา อันนั้นก็เป็นสมถะ
เพราะฉะนั้นทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราเข้าไปรู้ถึงอาการเกิดดับ การ คลายอุปาทานตรงนี้ มันจะไม่มีอาการยึด หรือข่ม ไม่ใช่การข่มจิต แต่เป็น การดับอารมณ์ รู้การเกิดดับของอารมณ์ ของสภาวะที่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดเลย ได้ไหม ? ยากใช่ไหม ? เมื่อไหร่ที่เรายังมีกิเลสอยู่ เขาก็ต้องเกิดให้เรารู้ แต่เมื่อเกิดแล้ว ต้องพร้อมที่จะดับ แค่นั้นเอง ไม่ใช่ว่าห้ามเกิดเลยนะ