Page 297 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 297
279
ต้องแบก แต่หน้าที่การรับรู้ สิ่งที่ต้องทา ภาระหน้าที่ ต้องทา เพราะฉะนั้น วิธีก็คือดูที่จิต ดูอย่างนี้แหละ ตอนนี้ทาอย่างไร กลับไปก็ทาอย่างนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนวิธีทา เพียงแต่ว่าไม่ใช่นั่งเฉย ๆ แค่นั้นเอง ตอนนี้ทาอย่างไร ? ที่เราทาตอนนี้คือทาอย่างไร ? ดูที่จิต นั่นคือวิธีทา เราดูว่าจิตเราเป็นอย่างไร เอาจิตที่ว่างดูที่จิตที่ว่าง แล้วทาจิตให้กว้าง หรือเอาจิตที่ว่างมารู้ที่จุดกระทบ ที่นั่ง อันนี้คือวิธีหนึ่ง นี่คือวิธีทา
เพราะฉะนั้นเวลาเราเดิน เราหยิบจับ ถ้าเอาจิตที่ว่างไปรองรับ จุดกระทบของการเดิน เวลาเราหยิบจับ เอาความรู้สึกที่ว่างเบาไปไว้ที่มือหรือ ที่จุดสัมผัส มันก็ยังต่อเนื่องได้ แต่พอรู้ตรงนี้เขาเรียกรู้อาการขณะเล็ก ขณะเล็กที่รู้เฉพาะอาการ ขณะใหญ่ก็คือว่า เมื่อสัมผัสเสร็จแล้วก็.. ถ้าเรา สงสัยว่าตอนนี้จิตเราเป็นยังไง ถ้ารู้สึกหนัก เราก็ปล่อยให้กว้างใหม่ แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปพยายามว่า ฉันจะยึดเอาไว้นาน ๆ ยึดไม่ได้หรอก แม้แต่ความว่าง ยึดแล้วก็ยังหนัก เข้าไปยึดความว่าง ก็ยังหนัก แค่เข้าไปรู้ และทาจิตให้ว่าง โดยไม่ต้องยึด แล้วจะไม่หนัก ความว่างยังยึดไม่ได้ ใช่ไหม ? ขนาดความ เป็นรูปร่างยังยึดไม่ได้ แล้วจะยึดความว่างเนี่ย.. ไม่ง่ายนะ
วิธีให้ความว่างตั้งอยู่นาน ความว่างอันนี้ต้องรู้ว่าเป็นความว่างของจิต คือความรู้สึกที่ว่าง จิตเราว่าง ไม่ใช่เป็นความว่างของอากาศ ถ้าเป็นความว่าง ของอากาศ เรายึดไม่ได้หรอก ความว่างของจิตเท่านั้นที่ทาให้ทุกข์ไม่เกิด ความว่างของจิตเท่านั้นกิเลสถึงไม่เกิด ความว่างของจิตเท่านั้นถึงจะทาให้ เราอิสระ เพราะฉะนั้นวิธีว่าง ขั้นแรกง่าย ๆ นะ อยากให้ว่าง คือว่างจาก ตัวตน เพราะตัวตนความรู้สึกว่าเป็นเรานี่แหละ เหตุเดียวที่ทาให้เราไม่ว่าง สังเกตดูสิ พอมีความรู้สึกว่าเป็นเราเมื่อไหร่ ชักไม่ว่างแล้ว เริ่มมีน้าหนัก พอเอาความรู้สึกว่าเป็นเราออก จิตเราจะรู้สึกโล่งขึ้น เบาขึ้นทันที แสดงว่า สาเหตุหลักก็คือ ความเป็นตัวเราของเรานั่นเอง
ความรู้สึกว่าเป็นเรา เขาเรียกอวิชชา เข้าไปยึด แต่ถ้าดับความเป็น