Page 302 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 302
284
ศีลก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว
เพราะรักษาจิต ก็รักษากาย รักษาจิตได้ รักษากายได้ เดี๋ยวก็รักษา
วาจาได้ เพียงแต่ว่าการรักษากาย วาจา ต้องมีเจตนาเพิ่มขึ้น เพราะอุปนิสัย ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็พูดจาโผงผาง พูดแล้วกระทบคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการระวังกาย วาจาเพิ่มขึ้น กิริยาบางคนก็จะเป็น คนแบบตรง ๆ เหมือนกับไม่ได้แบบคนสารวม อ่อนช้อย งดงาม แต่บางคน ก็เรียบร้อยโดยที่เขาสร้างมาดี ถ้าจิตเราดี จิตเราบริสุทธิ์ แล้วอาการนั้น เกิดขึ้น มันก็จะทาให้คนเขามองแปลก ๆ แค่นั้นเอง แต่โดยสภาพจิตก็ไม่ สามารถรู้ได้
สมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน เหมือนที่เขาบอกว่า... พระสารีบุตร โยม เขานิมนต์พระสารีบุตรไปรับผ้าใช่ไหม ? รับสังฆทาน พระสารีบุตรเดิน แล้วก็กระโดดข้ามคลอง กระโดดครั้งหนึ่งก็จีวรหายไปชุดหนึ่ง กระโดด อีกครั้งหนึ่งก็หายไปอีกชุดหนึ่ง ตอนนี้รู้แล้วว่า อ๋อ..พอกระโดดเมื่อไหร่ ศรัทธาโยมหายไป ก็เลยไม่กระโดด เลยเดิน นั่นคือความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราจะสรุปไม่ได้เลยว่าอาการเหล่านี้ ของบุคคลนี้เป็นยังไง สภาพจิตเขาเป็น ยังไง เราดูธรรมะ อยู่ที่ธรรมะ เพราะฉะนั้นอยู่ที่เจตนา
เหมอื นเรากเ็ หมอื นกนั การพดู จาทเี่ ราพดู นะ่ บางคนพดู ใชค้ า เพราะ ๆ ฟังไม่เข้าใจ ใช่ไหม ? บางคนต้องใช้เสียงแบบชัด ๆ เลยนะ เขาถึงจะรู้เรื่อง คือต้องให้เหมาะกับคนฟัง ที่สามารถเข้าใจได้ อย่างเวลาคนที่มีปัญญา เราพูดแบบสุภาพ เขาก็เข้าใจได้ พูดดี ๆ ก็เข้าใจได้ บางคนพอหยาบขึ้น มาหน่อย ก็ใช้ให้มันเหมาะ ๆ กันถึงจะเข้าใจ ตรงนี้เหมือนกับมันเป็น ศิลปะ ถ้าคนที่ฟังภาษาแบบเพราะ ๆ ไม่เข้าใจ เสียงนุ่ม ๆ ไม่ค่อยเข้าใจ เข้าไม่ถึงใจ ก็ต้องดังขึ้นมาหน่อย ถึงจะได้ตื่นตัว ใช่ไหม ? นั่นแหละ เหมือนกับเขาเรียก “วิธีการ” แต่ว่าการใช้เสียงดังไม่ใช่หมายความว่าเพราะ ความโกรธ