Page 313 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 313
295
ตามสภาวญาณ หรือปัญญาเราเป็นไปตามขั้นตอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ว่าถึงไหน เพราะยังไงสภาวะต่าง ๆ ก็เป็นไปตามสภาวญาณ ไปตามปัญญา ของเราอยู่แล้ว ญาณก็คือปัญญา ที่พิจารณาสภาวะอาการเกิดดับของรูป นามนั่นเองว่าเราไปถึงไหน เห็นลักษณะอย่างไร เดี๋ยวค่อยรู้ทีหลัง บางคน ก็รู้แล้ว ไปศึกษามาบ้าง ไปอ่านมาบ้าง อ่านแล้วก็รู้แล้ว เพียงแต่ว่าพอเจอ สภาวะจริงบอกไม่ถูก
ท่านแม่ครูเคยเล่าให้ฟัง พระอาจารย์ใหญ่เล่าให้ท่านฟังว่า มีอยู่โยม คนหนึ่ง เขาเขียนเรื่องสภาวญาณ เขียนได้เป๊ะเลย แต่พอปฏิบัติไป พอถึง ญาณนั้นไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พระอาจารย์ใหญ่เอาหนังสือที่ตัวเองเขียน โยนให้ดู เนี่ย..อันนี้คือสภาวญาณ คือเขียนได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงสามารถ เขียนได้ บรรยายได้ โอ้โห..รู้หมดเลย แต่พอเจอจริง ๆ ไม่รู้ว่าอยู่ญาณไหน
สภาวะจริงกับที่เราเข้าใจมันจะต่างกันนิดหนึ่ง เราบอกว่าเบื่อเนี่ย เบื่อแบบไหน ? ไม่รู้ว่าเบื่อแบบไหนถึงเรียกสภาวญาณ เรารู้ว่ามีญาณเบื่อ เบื่ออย่างนั้น เบื่ออย่างนี้ แต่พอเจอกับตัวเอง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ต้องเจอ แน่นอน เจอแน่นอน ก็อย่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นสภาวะอะไรเกิดขึ้นก็ตาม หน้าที่ ของนักปฏิบัติคือกาหนดรู้ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเขา ที่จะไม่ผิดอย่าง หนึ่งก็คือ ทุกครั้งที่กาหนดรู้ ถ้ามีตัวตน ให้ดับตัวตนก่อน แล้วมีสติกาหนด รู้อาการเกิดดับของอารมณ์นั้นไป จะไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามไม่ผิด เพราะว่าไม่มีจิตเข้าไปยึดหรือไปบังคับ สภาวะจะก้าวหน้าและเดินไปได้หมด หลายครั้งแล้วนะ มีอะไรอีก ? ไม่มีแล้วนะ
ธรรมะพูดได้ไม่มาก สภาวะจริง ๆ ก็มีแค่นี้แหละ จะพูดไปตาม สภาวะของโยคี พูดไปตามสภาวะของนักปฏิบัติ พอพูดมากกว่านั้น เราก็ ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดในสิ่งที่เราฟังไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวเราก็ง่วงอีก เออ..พูดแล้วเนี่ย เราฟังแล้วเข้าใจ จุดสาคัญ.. เข้าใจแล้วต้องกลับไปทา ทาแล้วเป็นอย่างไร มาเล่าให้ฟัง จะได้พูดต่อ จะได้พูดต่อไปว่าเป็นยังไง จะได้ขยายให้ฟังต่อ