Page 332 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 332
314
ค่อยไปดูอาการเกิดดับ บางทีนั่งตัวตรงแล้วหาไม่เจอ แต่พอไปเอนตัวกลับ มีอาการเกิดดับขึ้นมาแล้วไม่ดู พอมีโอกาสเขาเกิดขึ้นมากลับไม่ดู พอเขา ไม่เกิดกลับไปหา ใช่ไหม ? เราไม่รู้จักฉวยโอกาส โอกาสดี ๆ พอตอนที่ สมาธิดี สภาวะเกิดขึ้น มีปัญญาเกิด รู้ต่อไปได้เลย ปฏิบัติจนถึงขนาดว่า ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ไม่ปฏิบัติ ตรงนั้นแหละ ต้องเป็นอย่างนั้นนะ ปฏิบัติจนถึง ขนาดว่าไม่รู้ตอนไหนที่เรียกว่าไม่เจริญสติ นั่นแหละถึงจะได้ผล
แต่ว่าไม่ใช่ว่าที่ทาอยู่นี่ไม่ได้ผลนะ ให้ต่อเนื่อง ทาจริง มีอย่างหนึ่ง เราปฏิบัติธรรมต้องทาจริง ๆ เอาจริง เคร่งครัดแต่อย่าเครียด ให้เคร่งครัด กับตัวเอง ทุกครั้งที่ทาต้องตั้งใจทา แต่ไม่ต้องไปเครียด อะไรจะเกิดก็เกิด ตามกาลังของเขา ไม่ใช่ทาเพราะความอยากเห็น อยากเป็น อยากได้ ทา เพราะอยากรู้ว่าต่อจากนี้เป็นยังไง ต่อจากนี้เป็นยังไง แล้วเราจะไม่เครียด รู้อยู่กับปัจจุบัน ไม่งั้นนี่เครียด เพราะอยากได้ พอไม่ได้ก็เครียด อยากได้ พอไม่ได้ก็หงุดหงิด อันนั้นไม่ดี แต่เราต้องตั้งเป้าหมายที่จะทา ตั้งเป้าหมาย ของการปฏิบัติของเราว่า การปฏิบัติของเราเป็นไปเพื่ออะไร ขอให้การปฏิบัติ ของเราเป็นไปเพื่อมรรค ผล นิพพาน และสิ้นสุดกองทุกข์ทั้งมวลตรงนี้ ตั้งจิตเอาไว้ เวลาปฏิบัติก็มีตัวมุ่งไปเรื่อย ๆ เป้าหมายของเราไม่ทิ้ง แต่ตอน ปฏิบัติไม่ต้องไปกังวลกับเป้าหมาย ให้รู้แต่ว่าสภาวะปัจจุบันเป็นอย่างไร อัน นั้นคือจุดสาคัญ
การปฏิบัติของเรา นักปฏิบัติส่วนมากปฏิบัติน้อยอยากได้มาก ปฏิบัติน้อยอยากได้มากคืออะไรล่ะ ? ชอบอะไรแบบเร็ว ๆ ตอนนี้คิดดูนะ ว่าเราปฏิบัติอย่างนี้ เรารู้วิธีแยกรูปนาม เราทาใจให้ว่างได้ ถามว่าเร็วแค่ไหน แล้ว ทาปุ๊บก็โล่งเลย ทาปุ๊บก็ว่างเลย แค่คิดถึงยกจิตได้เลย ว่างทันที ถาม ว่าเร็วแค่ไหนแล้ว ขนาดเราอยู่ในยุคนี้นะ ถ้าเราไปเกิดในยุคพระพุทธเจ้า โชคดีได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็ดีหรอก.. ใช่ไหม ? จะได้ฟังแล้ว จะได้รู้เรื่อง ได้เข้าใจ แต่ก็ไม่แน่นะ สมัยโน้นอาจจะฟังอยู่ไกล ๆ เป็นบริกร