Page 347 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 347

329
ละเอียดกว่าก็ไม่มีตัวมุ่ง ไม่ตามรู้ ก็เลยผ่อน ปล่อย รู้สึกเหมือนตัวเอง ปฏิบัติไม่ได้ก็หยุด พอหยุด สติเราก็อ่อนลง พอถอยลง พอเริ่มนั่งใหม่ เจอสภาวะที่เป็นของหยาบที่มันน่าตื่นเต้นปรากฏขึ้น เหมือนเดิม เราก็รู้สึก ดีใจ เอ้อ !..ทาได้อีกแล้ว ทาได้อีกแล้ว ก็ขึ้นลง.. ขึ้นลง..อยู่นั่นแหละคือ ไม่เดินหน้า
เพราะฉะนั้นสภาวะที่เกิดขึ้น สิ่งที่ต้องรู้ รู้ชัด แม้จะบาง จะเบา จะโล่งอย่างไร ก็ต้องรู้ชัด ให้กาหนดต่อไปเรื่อย ๆ จะดีหรือไม่ดี ให้รู้ถึง อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเขา รู้การเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ อย่างเช่น บางทีพอนั่งไปแล้วมีบรรยากาศครึม ๆ ทึม ๆ มาคลุม รู้สึกไม่ค่อยดีเลย ทา ไมไ่ ด้ ทา ยงั ไง ? กต็ อ้ งกา หนดบรรยากาศนนั้ สงั เกตนะ..ขณะทมี่ บี รรยากาศ ทึม ๆ ครึม ๆ มาคลุมตัวเนี่ย จิตใจเราเป็นอย่างไร ? รู้สึกยังไงสภาพจิตเรา ? ไม่ดี ขุ่นมัว ใช่ไหม ? รู้สึกขุ่น ๆ พอขุ่นเราก็ไปดูความขุ่นนั้นเสีย เข้าไปที่ ความขุ่นนั้น แล้วขยายความขุ่นให้กว้างออก ตรงนี้คือการจับที่ความรู้สึก ไม่ใช่เขาขุ่นแล้วเราไปหาอย่างอื่น ไม่ดูความขุ่น จะไปรู้อาการเกิดดับของ อารมณ์อื่น ยังไงก็ไม่เกิด แล้วจะกาหนดไม่ได้ด้วยสักพักก็จะราคาญตัวเอง ว่าทาไม่ได้ เพราะความคิดเริ่มเกิด ความขุ่นมัวที่เกิด ที่มันสลัว ๆ เกิดขึ้น เนี่ย จุดหนึ่งที่ต้องสังเกตเลย จะได้รู้ว่าความขุ่น ๆ มัว ๆ สลัวที่เกิดขึ้น เกิดจากกิเลส หรือเป็นสภาวะของเขา
จุดหนึ่งที่ต้องสังเกต เมื่อมีบรรยากาศหมอก ๆ ขึ้นมา ขณะที่รับรู้ อยู่นั้น สังเกตว่ามีตัวตนไหม ? มีความรู้สึกว่าเป็นเราหรือเปล่า ? หรือ แค่หมอก ๆ นั้นเกิดอยู่ที่ว่าง ๆ ลอย ๆ เท่านั้นเอง ถ้าเกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ ลอย ๆ ไม่มีเราเป็นผู้รับรู้ ไม่มีตัวตนเป็นผู้รับรู้ มีแต่ความรู้สึกที่ว่าง ๆ ทาหน้าที่รับรู้ อันนี้เขาเรียกว่าเป็นสภาวะ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดยังไงก็ตาม ให้เอาจิตเราเข้าไปกาหนดรู้ แล้วเขาเปลี่ยนยังไง ? เอาจิตเข้าไปแล้วเขา เปลี่ยนยังไง ? ให้จับที่ความรู้สึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างเช่น พอเราเข้าไป


































































































   345   346   347   348   349