Page 379 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 379

361
ตัวเองในขณะนี้เดี๋ยวนี้ จริง ๆ ลองดูว่ารู้สึกเป็นไง ? ทุกอย่างว่างเปล่า สุญญตา ไม่มีแก่นสารที่เราจะยึดได้เลย รูปอันนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารที่ เรายึดเป็นสรณะเป็นที่พึ่งได้ตลอด กลายเป็นของว่างเปล่า แล้วชีวิตของเรา เราจะยึดอะไรเป็นสรณะเป็นที่พึ่งสูงสุด ?
สิ่งรอบข้างก็ยึดไม่ได้ แต่อาศัยกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกัน เป็น ปัจจัยคือเป็นสิ่งที่อาศัยกัน แต่ไม่ใช่เป็นสรณะ บางครั้งเราลืม เอาสิ่งที่เป็น ปัจจัยสิ่งที่อาศัยมาเป็นสรณะ จนเรายึด แล้วเราก็ไม่สามารถปล่อยได้ ก็ กลายเป็นทุกข์ สิ่งที่เราอาศัยได้ชั่วขณะหนึ่ง ๆ วัตถุสิ่งของเราอาศัยได้ชั่วชาติ นี้ หลังจากตายไปไม่รู้อาศัยอะไรแล้วนะ ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า จึงให้เราเอาความจริงเป็นสรณะ เอาความจริงเป็นที่พึ่ง เอาความจริงเป็นที่ตั้ง ถ้าเมื่อไหร่เอาความจริงเป็นที่ตั้ง ยังไงก็เป็นอย่างนั้น
ความจริงโดยบัญญัติ สมมติบัญญัติอย่างหนึ่ง แต่ความจริงอย่าง หนึ่งที่ทาให้เราพ้นทุกข์ก็คือ ความจริงของรูปนามอันนี้ ไม่มีอะไรเลยที่บอกว่า เป็นของเรา มีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ เกิดขึ้นมา แล้วเป็นไปตามกรรม เราสร้างกรรมมาในอดีต เกิดมาเพื่อใช้กรรม แล้วทากรรมใหม่ แล้วก็ใช้กรรม ต่อไป กรรมที่เราทาเพื่อที่จะให้เราได้บรรเทาทุกข์.. กรรมฐานนี่แหละ
กรรมฐานคือการกาหนดรู้จิตตัวเอง รู้จักทาจิตให้ปล่อยวาง ให้ว่าง สังเกตไหมเมื่อไหร่ก็ตามที่เราแยกกายกับใจออกจากกัน แล้วแยกใจกับ อารมณ์ออกจากกัน จิตเราจะไม่คล้อยตามอารมณ์ ไม่คล้อยตามกระแส ตรงนี้หลุดพ้น หลุดออกมาชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่จิตเราหลุดพ้น หลุดออกมา จากวงจรของอารมณ์เหล่านั้น จิตรู้สึกเป็นไง ? อิสระ สบาย ใช่ไหม ? นี่เป็น การตัดชั่วขณะหนึ่ง จิตเราจะหลุดหรือจะไหลตาม ให้จิตเราอยู่นอกอารมณ์ หรือไหลตามอารมณ์ เพราะฉะนั้นการที่เราแยกรูปนาม ให้จิตออกมาข้างนอก ตัว เพื่อให้เห็นชัดว่าจิตเรามีลักษณะอย่างไร
ความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ อยา่ งทบี่ อกแลว้ เมอื่ ไหรท่ เี่ ราคลอ้ ยตาม คลอ้ ยตาม


































































































   377   378   379   380   381