Page 443 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 443

425
ถ้ามีอาการตั้งอยู่นิ่ง ๆ เราก็เอาจิตเข้าไปรู้ความนิ่งนั้นอีก เขาเปลี่ยน อีกไหม ? ถ้ามีมโนภาพ มีนิมิตต่าง ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพคน ภาพถนน ภาพอาคารบ้านเรือน ภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาพอะไรก็ตาม ให้มีสติกาหนดรู้ รู้แล้วเขาดับอย่างไร รู้แล้วหายไปอย่างไร รู้แล้วนิ่ง ๆ อยู่ หรือว่ารู้แล้วชัดขึ้น หรือเลือนไป น้อยลง หายไป ? ให้รู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของทุก ๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือ ทางใจ
ในขณะที่เราปฏิบัติอยู่ขณะนี้ อารมณ์ที่ชัดที่สุดก็คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ทางกายกับทางใจของเรา นั่นแหละเป็น “อารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน” เสียงที่ได้ยิน ก็อาจจะมีแค่เสียงอาจารย์กับเสียงแอร์ ถ้าไม่รบกวนก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้รู้ อารมณ์ที่ชัดที่สุดที่อยู่ข้างหน้าเราว่าเป็นอย่างไร และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ขณะ ที่เราตามรู้อาการเกิดดับไปเรื่อย ๆ ที่เห็นว่าเขามีแล้วหมดไป มีแล้วหมดไป แต่ละขณะ ให้สังเกตด้วยว่า “สภาพจิตใจ” เรารู้สึกอย่างไร ? สภาพจิตใจ รู้สึกนิ่ง สงบขึ้น เบาขึ้น หรือว่าสลัว ๆ มัว ๆ หรือว่าสว่าง ? ไม่ว่าจะเป็น ยังไงก็ตาม ให้มีสติตามกาหนดรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
แม้แต่สภาพจิตเอง ก็ไม่ใช่เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เขาต้องมีการ เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าเราต้องเข้าไปกาหนดรู้ให้ชัด ว่าเขาเปลี่ยนอย่างไร จะเปลี่ยนช้าหรือเปลี่ยนเร็ว ขึ้นอยู่ที่อาการเหล่านั้น เราไม่สามารถไปบังคับ บัญชาได้ เป็นสภาวะที่เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ บังคับให้เกิด ก็ไม่ได้ ถ้าปัจจัยไม่พร้อม บังคับให้หายก็หายไม่ได้ ถ้าปัจจัยไม่พร้อม ถ้า สติเราไม่มีกาลัง ถ้าบังคับให้เกิดก็จะมีตัวตน พอมีตัวตนก็มีกิเลส พอมี กิเลส จิตก็จะเศร้าหมองแล้ว จะรู้สึกไม่ดี จะรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด ราคาญ ไม่สบาย เกิดการกระสับกระส่ายเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง เวลาตามรู้ลมหายใจ ดูอาการพอง ยุบ ดูความคิด ดูความปวดที่เรียกว่า “เวทนา” นี่ ให้มีสติแล้วก็พอใจ พอใจ


































































































   441   442   443   444   445